โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

สุดยอด 5 หุ้นเด่น คอมมูนิตี้ กับโอกาสน่าเข้าสะสมหรือไม่?

Wealthy Thai

อัพเดต 10 ส.ค. 2566 เวลา 04.07 น. • เผยแพร่ 17 พ.ค. 2564 เวลา 09.58 น. • This’s Alano

จากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หนึ่งในหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกคงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่ม Communityที่ได้รับแรงหนุนทั้งจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น ที่ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ ดังนั้นทีมข่าว Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาดูว่าหุ้นยอดนิยมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Communityจะมีความน่าสนใจหรือไม่ไปดูกันเลย
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าหุ้นกลุ่ม Community คือ กลุ่มสินค้าที่แยกความแตกต่างในเชิงคุณภาพได้ยาก โดยแบ่งเป็นสองประเภทคือ อย่างแรก Hard Commodities คือสินค้าที่เกิดจากธรรมชาติและเกี่ยวเนื่องเช่น โลหะเงิน ทองคำ อัญมณี พลังงานและการผลิต เป็นต้น หุ้นกลุ่มนี้ได้แก่ หุ้นน้ำมัน หุ้นถ่านหิน หุ้นปิโตรเคมี หุ้นโรงกลั่น หุ้นเหล็ก และอย่างที่สอง คือ Soft Commodities ซึ่งเป็นสินค้าที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์เช่น หุ้นกลุ่มสินค้าเกษตร ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง ยางพารา น้ำมันปาล์ม น้ำตาล เนื้อสัตว์ เป็นต้น

ราคาถั่วเหลืองโลกทำนิวไฮรอบ 8 ปี

เริ่มจาก TVO หรือ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลือง ตราองุ่น และวัตถุดิบอาหารสัตว์ ได้แก่ กากถั่วเหลือง, ดีฮัล ซอยมีล, ฟูลแฟตซอย, ดีฮัล ฟูลแฟตซอย รวมทั้ง เลซิติน ซอยฮัล น้ำมันข้าวโพด น้ำมันทานตะวัน น้ำมันคาโนลา และน้ำมันมะกอก
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บอกว่า เนื่องจากราคาถั่วเหลืองโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเมื่อเร็วๆ นี้ไปแตะสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปี จากความกังวลในประเด็นเรื่องภาวะอากาศที่แห้งมากขึ้นรวมถึงภาวะแห้งแล้งในประเทศสหรัฐฯ การคาดการณ์ว่าสต๊อกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ จะยังคงมีแนวโน้มตึงตัวต่อไปในปี 2564/ 65 และความต้องการซื้อถั่วเหลืองจากประเทศจีนที่กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ดังนั้นจึงมองว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบันของ TVOถือว่ายังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ในขณะที่มูลค่าหุ้นของ TVOควรที่จะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" ราคาเป้าหมายที่ 40 บาท เนื่องจากกำไรที่จะเติบโตก้าวกระโดดในปี 2564 และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง
โดยประเมินกำไรสุทธิของ TVO ในปี 2564 ที่ระดับ 2,227 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 1,655.80 ล้านบาท ขณะที่ประเมิน อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลคาดจะอยู่ที่ระดับ 6.8% หรือคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลในปี 2564 ที่ระดับ 2.3บาทต่อหุ้น

NER รับเป้าหมายใหม่ 8.50 บาท

ต่อมา บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ โดยนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1 ปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 366.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 511.96% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 59.89 ล้านบาท
ด้านรายได้จากการขายรวม อยู่ที่ 4,963.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,008.73 ล้านบาท หรือ 67.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายสุทธิอยู่ที่ 2,954.36 ล้านบาท เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก
ดังนั้นเป้าหมายการเติบโตในอีก 9 เดือนได้มีการปรับเป้าหมายปริมาณการขายยางพาราใหม่ เป็น 440,000 ตัน จากเดิมที่ 410,000 ตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น ที่สามารถรองรับยอดขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย
นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการที่ทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลส์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) บอกว่า แนะนำซื้อ ได้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 8.50 บาท จากราคา 7.00 บาท สาเหตุจากการปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้น ทั้งนี้ราคาเป้าหมายเราได้รวมในจำนวนหุ้น Fully diluted ในส่วนของ Warrant เข้าไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น 23% อยู่ที่ 1,769 ล้านบาท เติบโต 106% จากปีก่อน และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ขึ้น 13% อยู่ที่ 1,939 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 64 โดยสาเหตุหลักมาจาก เราปรับปริมาณการขายปี 64 ขึ้นเป็น 440,000 ตัน จาก 410,000 ตัน และปรับประมาณการ gross margin ปี 64 และ 65 ขึ้นเป็น 12% จาก 11% โดยประมาณกำไรสุทธิเรามี upside จาก gross margin ที่อาจจะดีกว่าที่เราคาด

BRRรับราคาน้ำตาลตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

ตามด้วยกลุ่มน้ำตาลอย่าง บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR โดยนายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิ 185.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 975.07 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยมาจากกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ น้ำตาลที่ขยายตัวได้อย่างโดดเด่นจากปริมาณส่งออกน้ำตาลไปแก่คู่ค้าได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนในช่วงจังหวะราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 17-18 เซนต์ต่อปอนด์
ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการผลิตน้ำตาลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ BRR ผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยในรอบการผลิตปี 2563/64 อยู่ที่ 123.68 กิโลกรัมน้ำตาลต่อตันอ้อย สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมฯ ถึง 10.24 กิโลกรัมน้ำตาลต่อตันอ้อย โดยมีปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งสิ้น 1.76 ล้านต้นอ้อย ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำลง ประกอบกับการดูแลควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อการผลักดันผลการดำเนินงานที่ดี ส่งผลให้ไตรมาสนี้ผลงานของ BRR เติบโตเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก
“ผลงานในไตรมาส 1/2564 ได้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินงานของ BRR ที่มั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของเราในการผลักดันผลการดำเนินงานให้กลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน” นายอนันต์ กล่าว
ขณะที่ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดจะเติบโตตามแผน โดยในไตรมาส 2/2564 บริษัท มีแผนส่งออกน้ำตาลทรายดิบมากกว่าในไตรมาสแรก รวมถึงการนำน้ำตาลทรายดิบไปทำน้ำตาลรีไฟน์ (น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์) ที่สร้างกำไรต่อหน่วยที่ดีกว่า ให้เต็มความสามารถด้านการผลิตที่ 20,000 ตัน เพื่อเก็บเกี่ยวรายได้ที่ดีในช่วงที่ราคาตลาดโลกอยู่ในเกณฑ์สูงสุดในรอบ 4 ปี ส่งผลให้ครึ่งปีแรกกลุ่มธุรกิจน้ำตาลจะขยายตัวได้โดดเด่น
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย หรือ SEW ซึ่งถือเป็น New S curve ของ BRR จะเข้ามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลการดำเนินงาน บริษัทฯ จึงอนุมัติงบลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จำกัด (SEW) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นร้อยละ 99.99 อีก 70 ล้านบาท เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงเยื่อที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยรองรับแผนรุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพิ่มเติม หลังจากลูกค้าในต่างประเทศให้ความสนใจให้ SEW เป็นผู้ผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ซึ่งคาดว่าจะสรุปรายละเอียดได้ในเร็วๆ นี้
ล่าสุด BRR ยังไม่มีบทวิเคราะห์ แต่ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรปี 64 จะเติบโต 16.5 เท่าตัวมาอยู่ที่ 190 ล้านบาท ทั้งจากราคาน้ำตาลและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ด้วยจำนวนพื้นที่เพาะปลูกในปี 63 ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณอ้อยเข้าหีบจะเพิ่มขึ้นจาก 1.8 ล้านต้นในปีก่อนมาอยู่ที่ 2.1 ล้านตันในฤดูกาลปี 64 ขณะราคาน้ำตาลโลกพุ่ง เป็นผลให้ราคาเฉลี่ยขึ้นมาอยู่ที่ 15.89 เซ็นต์/ปอนด์ ซึ่งขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปี 60

TSTH ลุ้นกำไร 806 ล้านบาท โต 28%

ขณะที่กลุ่มเหล็กอย่าง บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH ที่ราคาหุ้นบวกแรงต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กดีขึ้น หลังเหล็กจีนออกมาตีตลาดลดลงมาก จะหนุนผลประกอบการดีขึ้น
เราประเมินราคาเป้าหมาย โดยอิงกับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นได้เท่ากับ 1.20 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันพุ่งขึ้นจากต้นปีถึง 69%YTD เรามองขึ้นมารับมากแล้ว และ มีอัพไซด์ไม่มาก เราลดเกรดคำแนะนำลงเป็น ถือ จาก TRADING BUY โดยสินค้าเหล็กในอดีตมีความผันผวนสูง และเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินมาก
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการ จากการสอบถามเอเย่นต์ของ TSTH พบว่าราคาขายเหล็กเส้นขนาด SD-40T 16มม. เดือน เม.ย. 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 21,800 บาท/ตัน เทียบกับ เดือน ม.ค. – มี.ค. 2564 เฉลี่ย ประมาณ 20,500 บาท/ตัน คาดจะหนุนผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 64/65 ( เม.ย. – มิ.ย. 2564) ยังเด่น แต่จะต่ำกว่าไตรมาสก่อน
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร TSTH ประเมินความต้องการเหล็กในตลาดปี 2564 จะเติบโตมากกว่า 10% เพิ่มเป็น 18-19 ล้านตัน แรงหนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล จะเป็นปัจจัยบวกช่วยหนุนยอดขายของ TSTH ปี 2564/65 เติบโตต่อ โดยเฉพาะสถานการณ์เหล็กจากจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทยลดลงมาก จากความต้องการที่สูงในจีน หนุนราคาปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์ปัจจุบันราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้น เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอีก คาดกำไร ปี 2564/65 (เม.ย. 2564 – มี.ค. 2565) เท่ากับ 806 ล้านบาท โต 28%

IVL ลุ้นปีนี้กำไรสุทธิ 15,794 ล้านบาท

และสุดท้ายหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีสุดฮอตอย่าง IVL หรือ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน)ที่ได้รายงานกำไรไตรมาส 1/64 ออกมาอย่างโดดเด่น ล่าสุด นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงแนะนำ ซื้อ เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 56 บาทจาก 50 บาท เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่ม EBITDA
เราเชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 1/64 จะอยู่ในระดับต่ำสุดในปีนี้ และคาดว่า IVL จะมีการเติบโตของกำไรเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยคาดปี 64 จะรายงานกำไรสุทธิ จากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรและปริมาณของ IOD / Fiber ส่วนต่างราคา PET จะสูงสุดในไตรมาส 2/64แต่จะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เราเห็นอัพไซด์ต่อรายได้ของ IOD เนื่องจาก shale cracker เริ่มออนไลน์ ขณะที่ Covid19 ยังคงเป็นความเสี่ยง แต่เป็นในบางพื้นที่ไม่ใช่ทั่วโลกแล้ว
เราเพิ่ม EBITDA หลักปี 64ขึ้น 13%เป็น 4.8หมื่นล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงปัจจัยขับเคลื่อนกำไรที่ดีขึ้น เราปรับสมมติฐานสเปรดของ PET ปี 64ขึ้นไป 11%เป็น 245เหรียญสหรัฐ / ตัน ส่วนต่างราคา PET 5เดือนแรกยังคงเพิ่มสูงขึ้นที่ 250-260เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากอุปทานที่ตึงตัว (การขาดแคลนวัตถุดิบ) อุปสงค์ที่แข็งแกร่งและปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
ผู้บริหารเผยว่าคู่แข่งหลายรายในยุโรป / สหรัฐฯ ประกาศ FM (PTA หยุดชะงักเนื่องจากการขาดแคลนกรดอะซิติก) อุปทานจะยังคงตึงตัวและจำเป็นต้องเติมสต็อก ทั้งนี้ IOD จะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักในครึ่งหลังปี 64เนื่องจากการดำเนินงานเข้าสู่ภาวะปกติและอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น (shale cracker ออนไลน์ในเดือนมิถุนายน) เราเพิ่มอัตรากำไร EBITDA ของ IOD ขึ้น 25%เป็น 110เหรียญสหรัฐ / ตัน ราคาบิวเทนที่อ่อนตัวลง (วัตถุดิบ) และความต้องการน้ำมันเบนซินที่ดีขึ้นในฤดูการขับขี่จะเห็นสเปรด MTBE เพิ่มขึ้นที่ 179เหรียญสหรัฐ / ตัน (ขึ้นช้า) ในไตรมาส 2/64
ด้านนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า guidance ของฝ่ายบริหารอ้างอิงปริมาณขายที่สูงขึ้น จากไตรมาสก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ได้ขายไปเกือบหมดแล้ว ส่วนต่าง MTBE เพิ่มขึ้นสู่ 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในเม.ษ. แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในเม๊กซิโกและอเมริกาใต้ซึงเป็นตลาดหลัก MTBE ของ IVL ยังเปิดทำการไม่เต็มที่ การฟื้นตัวของความต้องการ MTBE จะเร่งตัวในครึ่งหลังปีนี้ ทุกส่วนต่าง MTBE ที่เพิ่มขึ้น 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จะหนุนกำไร IVL 2.0 พันล้านบาทต่อปี โดยคาดปี 2564 จะรายงานกำไรสุทธิ 15,794 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 2,414.28 ล้านบาท แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 60 บาทต่อหุ้น

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0