คุณทราบหรือไม่ว่า…แผนงานในการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงสู่เป้าหมาย ‘ไม่เกิน 1 ล้านบาท’ นั้น ดีเลย์มานานมาก ตลอดรายทางมีการขยายเวลาออกไปคั่นมาตลอดทาง
ในท้ายที่สุดก็ “สิ้นสุดการรอคอย” หลังจากเลื่อนมาจากปี20 อีก 1ปี ตั้งแต่ “วันที่ 11 ส.ค. 21” เป็นต้นไป วงเงินคุ้มครองเงินฝากได้ปรับลดลงจากไม่เกิน 5 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว เหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางสุดท้ายของการคุ้มครองเงินฝากแล้ว
สำหรับ “ผู้ฝากเงิน” ส่วนใหญ่แล้ว แม้ไม่ได้ติดตามข่าวนี้ก็คงไม่กระทบอะไร เพราะ 98.35% ของบัญชีเงินฝากทั้งระบบ มีเงินฝาก ‘ต่ำกว่า 1ล้านบาท’ อยู่แล้ว
ส่วนกลุ่มคนที่มีเงินฝาก ‘มากกว่า 1 ล้านบาท’ นั้น มีอยู่ 1.65% ของบัญชีเงินฝากทั้งระบบ แต่ครรอบครองเม็ดเงินฝากสูงถึง 79.70% นั้นเป็นกลุ่มที่ต้องคิดอ่านวางแผนกันต่อไป
วันนี้ทีมงาน “Wealthythai” มีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากกันเช่นเคย
ถ้า “แบงก์ล้ม”…จะได้รับเงินฝาก ‘ไม่เกิน’ จำนวนที่คุ้มครอง
สำหรับ “ผู้ฝากเงิน” คุณต้องเปลี่ยนมุมมองต่อการฝากเงินในบริบทใหม่ให้รับกับ ‘ระบบคุ้มครองเงินฝาก’ นี้ก่อนเลย เพราะการฝากเงินก็มี ‘ความเสี่ยง’ เช่นกัน
ลืมเรื่อง ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ ปี1997 ที่มีการปิดสถาบันการเงินไป 58 แห่ง และสุดท้ายรัฐต้องให้ ‘กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund :FIDF)” รับประกันเงินฝากเต็มจำนวน จนเป็นภาระมาจนถึงปัจจุบันกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เงินใครที่ไหนเป็น ‘เงินภาษี’ ของคนไทยนี่แหละ แต่ภาพนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต หากมีสถาบันการเงิน ‘เจ๊ง’ ลง!!!
นี่แหละคือ สิ่งที่เปลี่ยนไปกับการฝากเงินของไทย เพราะไทยได้เปลี่ยนมาใช้ ‘ระบบคุ้มครองเงินฝาก’ ตั้งแต่ปี2008 เป็นต้นมา โดยมีการตรา ‘พ.ร.บ.สถาบัน คุ้มครองเงินฝาก’ มีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค. 2008 และมีการจัดตั้ง “สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA)” ขึ้น ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นของการคุ้มครองเงินฝากแบบชัดเจน
“ภายใต้ระบบคุ้มครองเงินฝากนี้ จะมีการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินมาเก็บสะสมไว้ในกองทุนคุ้มครองเงินฝาก เพื่อใช้จ่ายคืนเงินผู้ฝาก หากมีเหตุสถาบันการเงินล้ม ก็ไม่ต้องนำเงินภาษีมาใช้ในการจ่ายคืนผู้ฝากเงินอีกต่อไป”
โดยเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองจะเป็นเงินฝากปกติที่ไม่ซับซ้อน เช่น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ ‘ไม่ได้รับความคุ้มครอง’ ก็มี ได้แก่
-เงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ
-เงินฝากที่มีอนุพันธ์แฝง
-เงินฝากระหว่างสถาบันการเงิน
-เงินฝากในบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
“ผู้ฝากเงิน”…ส่วนใหญ่กว่า 98% ไม่ได้รับผลกระทบ
อ่านมาถึงตรงนี้ “ผู้มีเงินฝาก” ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะปัจจุบัน (ณ พ.ค. 21) มีบัญชีเงินฝากในระบบ 109.41 ล้านบัญชี มีเม็ดเงินฝากรวมกันทั้งสิ้น 15.94 ล้านล้านบาท มีบัญชีเงินฝากที่ ‘ต่ำกว่า 1ล้านบาท’ อยู่ 107.60 ล้านบัญชี คิดเป็น 98.35% ของบัญชีเงินฝากทั้งระบบ แต่มีเม็ดเงินฝากรวมกันเพียง 3.24 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20.30% ของเงินฝากทั้งระบบ คนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ จะไม่ได้รับผลกระทบแต่ประการใด
ในขณะที่บัญชีเงินฝากที่มีเงิน ‘เกิน 1ล้านบาท’ นั้น มีอยู่ 1.81 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.53% ของบัญชีเงินฝากทั้งหมด แต่มีเม็ดเงินฝากรวมกันกว่า 12.70 ล้านล้านบาท คิดเป็น 78.28% ของเงินฝากทั้งระบบ
“ตามกฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ในท้ายที่สุด (ตั้งแต่ 11 ส.ค. 21 เป็นต้นไป) กำหนดวงเงินคุ้มครองไว้ 1 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุม ผู้ฝากเงินกว่า 98.35% ของระบบ หมายความว่าหากมีสถาบันการเงินล้มลงในอนาคต (สมมติเฉยๆ นะ) ผู้ฝากเงินในสถาบันการเงิน 98.35% จะได้คืนเงินฝากเต็มทั้งจำนวนที่ฝากไว้ อีก 1.54% จะได้เงินคืนตามจำนวนที่คุ้มครอง และส่วนที่เหลือรอรับจากการชำระบัญชีอีกครั้งว่าจะมีเงินเหลือมาคืนให้ได้เท่าไร ก็เท่านั้น”
“เศรษฐีเงินฝาก” ที่มีเงินฝากมากกว่า 35 ล้านบาท…ต้องขยับขยายสู่ “การลงทุน”
สำหรับ“วงเงินคุ้มครองที่ 1 ล้านบาท” โดยจะคุ้มครองในลักษณะ 1 รายผู้ฝาก ต่อ 1 สถาบันการเงิน (ไม่ใช่ต่อ 1 บัญชี) ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงิน 35 แห่งที่ได้รับความคุ้มครอง ดังนั้น กลุ่มคนที่มีเงินฝากมากกว่า 35 ล้านบาท ขึ้นไป จึงเป็นกลุ่มคนที่จะต้องบริหารจัดการเงินของตัวเองให้ดี เพราะสามารถกระจายไปยังแต่ละสถาบันการเงินได้แห่งละ 1 ล้านบาท โดยยังได้รับความคุ้มครองอยู่
“ทั้งนี้พบว่าบัญชีเงินฝากที่มีมากกว่า 50 ล้านบาท นั้น มีอยู่ 26,097 บัญชี (สัดส่วน 0.02%ของบัญชีเงินฝากทั้งระบบ) มีเม็ดเงินรวมกันกว่า 5.99 ล้านล้านบาท (สัดส่วน 37.60% ของเงินฝากทั้งระบบ) ต้องขยับสู่โปรดักต์การลงทุน ซึ่งเราจะเห็นหน่วยงานด้านการลงทุนของแบงก์ต่างๆ ขยับขยายมารองรับเม็ดเงินส่วนนี้กันมานานก่อนหน้านี้แล้ว และยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้นในปัจจุบัน”
สำหรับสถาบันการเงินที่ได้รับความคุ้มครองทั้ง 35 แห่ง ประกอบด้วย
ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (19 แห่ง)
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน)
ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)
ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน)
ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารเมกะ สากลพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน)
ธนาคารเอเอ็นแซด (ไทย) จำกัด (มหาชน)
ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ (ไทย) จำกัด (มหาชน)
ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ (11 แห่ง)
ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส
ธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ธนาคารซิตี้แบงก์
ธนาคารอาร์ เอช บี จำกัด
ธนาคารแห่งอเมริกา เนชั่นแนล แอสโซซิเอชั่น
ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด
ธนาคารดอยซ์แบงก์
ธนาคารมิซูโฮ จำกัด
ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์
ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น
ธนาคารอินเดียน โอเวอร์ซีส์
บริษัทเงินทุน (2 แห่ง)
บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน)
บริษัทเงินทุน แอ็ดวานซ์ จำกัด (มหาชน)
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (3 แห่ง)
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เอสเบ จำกัด
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เวิลด์ จำกัด
บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ แคปปิตอล ลิ้งค์ จำกัด
“เงินฝาก” ได้เดินทางเข้าสู่จุดหมายปลายทางของ ‘การคุ้มครองเงินฝาก’ที่วงเงินไม่เกิน 1ล้านบาท เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ “วันที่ 11 ส.ค. 21” เป็นต้นไป สำหรับผู้มีเงินฝากส่วนใหญ่คงใช้ชีวิตตามปกติกันต่อไป แต่คนที่เป็น “เศรษฐีเงินฝาก” อาจจะถึงเวลาต้องขยับขยายสู่โปรดักต์การลงทุนกันมากขึ้นเช่นกัน