โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

“กันต์ กันตถาวร” ผู้ชายที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเขา “ฟลุค”

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 16 ก.ค. 2561 เวลา 13.00 น.

“กันต์ กันตถาวรผู้ชายที่ใครๆก็บอกว่าเขา ฟลุค”

“ชื่อเล่นจริงๆ ของผมชื่อ ‘ฟลุค’ แต่ไม่ค่อยมีคนเรียกชื่อนี้ เพราะเพื่อนๆ ก็เรียก กันต์ มาตั้งแต่เด็ก มีแค่คุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวที่ยังเรียกว่า ฟลุค อยู่ ที่ชื่อนี้เพราะตอนที่มีผม คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ได้ตั้งใจว่าจะมี แต่พอถึงน้องสาวเขาตั้งใจแล้ว น้องก็เลยชื่อ ‘แฟร์’ ตอนรู้ที่มาของชื่อก็ไม่น้อยใจอะไรนะ คิดว่าตลกดี ไม่ได้ตั้งใจ แต่เราแหลมออกมาได้” กันต์ กันตถาวร พูดถึงชื่อเล่นของเขาที่ถ้าไม่ใช่แฟนคลับตัวยงก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

ทั้งที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักด้วยชื่อเล่นจริงๆ แต่ชีวิตงานในวงการบันเทิงของเขากลับถูกบางคนมองว่าเป็นเรื่องฟลุค โดยเฉพาะงานพิธีกรที่กันต์ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้า จนเกิดเป็นคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้…ระหว่างความสามารถและความบังเอิญ

 “การเริ่มต้นด้วยความไม่รู้มันเป็นเรื่องดีนะ”

 “ช่วงแรกที่จะทำพิธีกร มีแต่คนบอกว่ายังเป็นพระเอกอยู่จะมาเป็นพิธีกรทำไม แต่เราแค่รู้สึกว่าอยากเลือกในสิ่งที่ชอบ เราเลยเลือกที่จะขีดเส้นให้ตัวเองว่า เดี๋ยวจะทำให้ได้ให้ดู” กันต์เล่าถึงฟีดแบ็กที่เขาได้รับในตอนแรก 

“พอเจอคนพูดแบบนี้ มันก็เลยเกิดความมุมานะว่าเราต้องทำให้ได้ และศึกษาตั้งแต่เรื่องโปรดักชันว่าเขาทำงานกันอย่างไร มีกล้องกี่ตัว ตัดต่อกันแบบไหน ดูจากคนที่ประสบความสำเร็จด้วย เรียกว่าเหมือนเป็นเด็กอนุบาล ซึ่งการเริ่มต้นด้วยความไม่รู้ตั้งแต่แรกมันเป็นเรื่องดีนะ เพราะพอเราไม่รู้ ประสาทเราจะเปิดในการรับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วค่อยเอามาประมวลอีกครั้งว่าดีหรือไม่ดี”

จากวันแรกที่เป็นพิธีกรจนถึงวันนี้ที่คนดูจำเขาได้ทั้งจากรายการ The Mask Singer, I Can See Your Voice Thailand และรายการแฟนพันธุ์แท้ กันต์บอกว่าคนที่จะให้คะแนนว่าเขาสอบผ่านหรือไม่ น่าจะเป็นคนดูมากกว่า แต่สำหรับตัวเองแล้ว เขามีหน้าที่ทำให้ดีที่สุดและเรียนรู้ในทุกๆ ครั้งที่ทำงาน ซึ่งรวมถึงการทำการบ้านอย่างจริงจัง และอาจจะเรียกได้ว่าจริงจังมากกว่าที่หลายคนคิด

“ทุกเทปที่ถ่ายทำ ผมจะให้เลขาฯ บันทึกเทปไว้ เพื่อมาดูทีหลังว่าเราทำงานไปแล้วเป็นอย่างไร ผมทำออกมาเป็น mind mapping จดเป็น bullet ไว้เลยว่าส่วนไหนที่เราพลาด ส่วนไหนที่เราได้ดีขึ้นบ้างในทุกๆ ครั้ง”

“เวลาที่ใช่ กับคนที่ใช่”

กันต์ บอกว่าทุกอย่างที่เขาพูดมาเกี่ยวกับเรื่องการทำงานนั้น ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาได้จาก "ปัญญา นิรันดร์กุล" หรือ ‘พี่ตา’ 

“เราเรียนรู้จากการทำงานของเขาว่า ณ วันที่เขายืนอยู่ตรงนี้ เป็น the legend ของวงการ มันไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาได้เลย มันเกิดจากการทำงานหนัก การเรียนรู้ การทำในสิ่งที่เขารักและต้องการจะสื่อให้คนดูเห็นมันไม่ใช่แค่การพูดตามสคริปต์แล้วก็ปล่อยไป แต่มันคือการดำเนินรายการ เขาจึงเรียกชื่อเต็มว่า ผู้ดำเนินรายการ”

เพราะงานพิธีกรที่มีมาอย่างต่อเนื่องและเป็นรายการใหญ่ที่คนจับตามอง ทำให้มีหลายคน โดยเฉพาะชาวเน็ต ขยันเปิดประเด็นว่า ที่กันต์มาถึงจุดนี้ก็เพราะได้แรงหนุนจากบอสใหญ่แห่ง Workpoint ไม่ก็เพราะความบังเอิญ

ในมุมมองของกันต์ เขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ผมว่าทุกคนมีคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน คุณคงไม่เห็นผมไปทำรายการไมค์ทองคำ หรือเห็น พัน พลุแตก มาทำ The Mask Singer ความแตกต่างนี่เป็นการตอบโจทย์เรื่องงานที่ชัดเจนที่สุดแล้ว” 

“ส่วนเรื่องบังเอิญ ผมว่ามันก็ประกอบกันหมดนะ ทั้งการเตรียมความพร้อมของตัวเอง จังหวะ และโอกาสด้วย มันเป็นเรื่องของของที่ใช่ อยู่ที่ใช่ ณ เวลาที่ใช่ กับคนที่ใช่ ถ้าผมทำพิธีกรตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ หรือถ้าผมไม่ได้ทำ The Mask Singer ก็อาจจะไม่ถูกคนมองเห็น หรือถ้าพิธีกร The Mask Singer ไม่ใช่ผม มันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน” 

“ผมว่ามันเหมือนเล่นสลอตน่ะ ทุกอย่างมันต้องเจอที่ใช่ตรงกันหมด แจ็กพ็อตถึงจะแตก” 

 “ผมต้องการงานที่ใช่และทำแล้วมีความสุข” 

เราถาม กันต์ ว่าครั้งล่าสุดที่ได้กินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่คือเมื่อไหร่ เขาตอบกลับมาว่า “เมื่อวานนี้”

หากบทสนทนาเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน คำตอบของกันต์น่าจะเป็น 2 เดือนก่อน ไม่ก็นานกว่านั้น 

จากที่เคยคิดว่าการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเองคือโจทย์ใหญ่ในชีวิต แต่ทุกวันนี้โจทย์ของเขาคือการมีความสุขในทุกๆ วันและในทุกๆ แง่มุมที่เขาจะสามารถทำได้

“ทุกวันนี้กลายเป็นว่าผมต้องการให้คนรอบตัวผมที่ผมแคร์มีความสุขไปด้วย นั่นคือความสำเร็จ เราบาลานซ์ชีวิตได้มากขึ้นจากการเลือกอาชีพพิธีกร เพราะผมไม่ได้ต้องการงานเยอะหรือน้อย แต่ต้องการงานที่ใช่และทำแล้วมีความสุข”

และหนึ่งในงานที่เขาทำแล้วมีความสุขก็ยังคงเป็นงานแสดง ถึงมันจะไม่ใช่งานหลักของเขาเหมือนที่ผ่านมา

“ล่าสุดผมกำลังจะมีภาพยนตร์เรื่อง“7 Days เรารักกันจันทร์-อาทิตย์ ที่รับเล่นก็เพราะรักอย่างเดียวเลย เพราะถ้าเป็นงานที่เราอยากจะทำ มันจะมี appetite ขึ้นมาทันที พอเรามีความอยากกับมันแล้ว ผมเชื่อว่าทำอะไรก็จะออกมาดี”

“อีกอย่างก็เพราะบทด้วย ผมถือว่าบทเป็นคัมภีร์ และคัมภีร์นี้ทำให้ผมเกิดความเชื่อได้ พอเกิดความเชื่อ เราก็ยินดีที่จะรักมันและเดินตามเส้นทางความเชื่อนั้น”

ในเรื่องนี้กันต์รับบทเป็น “แทน” เชฟที่ทำอาหารโดยไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ใดๆ ทำให้เชฟแทนสร้างความแปลกใหม่ได้ทุกมื้อ ทั้งที่ในชีวิตจริงแล้ว เขาบอกว่าตัวเองทำอาหารได้แค่ในระดับที่กินแล้วไม่ตายและไม่กล้าให้คนอื่นกิน 

ความคล่องแคล่วในครัวที่จะได้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมาจากการเวิร์กช็อปกับเชฟตัวจริงและการทำการบ้านของกันต์เอง เพื่อให้คนดูเชื่อในบทบาทของเขาเหมือนกับที่เขาเชื่อในบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งกันต์บอกว่าบทของเรื่องนี้จะทำให้คนที่ดูแล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “คุณรู้จักความรักดีแค่ไหน”

“ถามว่าทุกวันนี้รู้จักความรักดีแค่ไหน…ก็เรียกได้ว่าระดับหนึ่ง”

“ถามว่าทุกวันนี้รู้จักความรักดีแค่ไหน…ก็เรียกได้ว่าระดับหนึ่ง” เขาตอบพร้อมเสียงหัวเราะ แล้วพูดต่อว่า “ผมว่าเรื่องความรักทุกคนเป็นเหมือนกันหมดนะ ต้องเคยทำอะไรไม่ดีมา หรือเคยทำดีแล้วโดนคนทำไม่ดีใส่ มีทั้งสองมุม”

ถ้าความสำเร็จเรื่องงานของกันต์มาจากองค์ประกอบที่ใช่มาเจอกัน แล้วความรักของเขาเป็นอย่างนั้นด้วยไหม

“ผมว่าพอมันถึงวัยที่ใช่ จังหวะที่ใช่ มันก็ใช่ ถ้าผมเจอคุณพลอยสัก 10-20 ปีก่อนหน้านี้ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แฟนเก่าผมก่อนหน้าคุณพลอยก็เป็นคนที่ดีมาก แต่พอเจอในวันที่ผมยังซ่าอยู่ มันก็ไม่ใช่ พอมาถึงคุณพลอย ผมเริ่มอยากลงหลักปักฐานแล้ว และเราเจอคนที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน แล้ววันที่เราถอยหลัง เขาก็พร้อมที่จะฉุดเราไปข้างหน้า”

ความเจ็บปวดในอดีตทำให้กันต์เรียนรู้เรื่องความรักมากขึ้น เขาบอกว่า “ความรักครั้งก่อนๆ มันทำให้เรามีภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น พอมาครั้งนี้ เราก็ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาในการปรับตัว อะไรที่ไม่ดี เราก็จะไม่ทำ อะไรที่ดี เราก็ตั้งใจทำให้ มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากตั้งใจทำให้เป็นอยากที่จะทำให้ แล้วพอเราอยากทำให้ เราก็จะได้รับในสิ่งที่เขาอยากจะทำให้เหมือนกัน มันจึงเกิดการแลกเปลี่ยนและเจอบาลานซ์ของกันและกัน”

ตลอดหลายปีที่อยู่ในสถานะแฟนและอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงวันแต่งงาน กันต์บอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาค้นพบความลงตัวคือการมองทั้งข้อดีและข้อเสียของอีกฝ่าย

“ข้อดีของความรักเชิงชายหญิงนี่ใคร ๆ ก็ชอบ แต่ข้อไม่ดีต่างหากที่ต้องมาดูว่าเรารับได้หรือเปล่า หรือเราแค่ทนได้ เพราะสุดท้ายเราไม่ได้ต้องการคนที่สวยที่สุดหรือคนที่อยู่ด้วยแล้วกระหนุงกระหนิงกันตลอด แต่เราต้องการคนที่ยังอยู่กับเราได้ในวันที่เราไม่มีความสุขและเป็นคนที่เข้าใจเราที่สุด”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0