โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

“กบ ทรงสิทธิ์” ชี้! อยู่วงการบันเทิง อย่าเสียดาย “ชีวิตส่วนตัว” ถ้าไม่พร้อมก็อยู่บ้านไป!

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 16 พ.ย. 2561 เวลา 05.00 น.

“กบ ทรงสิทธิ์”  ชี้! อยู่วงการบันเทิงอย่าเสียดาย ชีวิตส่วนตัวถ้าไม่พร้อมก็อยู่บ้านไป!

“…พี่ไม่ใช่คนที่เข้าวงการแล้วดังแบบดังเปรี้ยงปร้างเราก็จะอยู่ระดับกลางๆตั้งแต่แรกแล้วก็มาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้พี่ก็ยังรู้สึกว่าพี่อยู่กลางๆก็ดีเหมือนกันสบายดี (ยิ้ม)…”

เมื่อเราได้ฟังนิยามตัวเองของศิลปินที่ชื่อกบทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรีข้างต้นในครั้งแรกนั้น ก็ดูจะเข้ากันดีกับภาพลักษณ์ผู้ชายอบอุ่น สุขุม ของเขา แต่ผลงานตลอด 30 ปีในวงการที่ผ่านมานั้น ได้การันตีแล้วว่า “ศิลปินระดับกลางๆ” คนนี้ มีดีมากกว่าที่เขาบอกเราอยู่เสมอ วันนี้เมื่อละคร เลือดข้นคนจาง ได้ลาจอไป พร้อมๆ กับม่านของละครเวที “STILL ON MY MIND THE MUSICAL” ได้ปิดลง จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เชิญศิลปินผู้นี้ มาร่วมพูดคุยถึงเรื่องราวและมุมมองของคนทำงานบันเทิง ว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้สิ่งใดเบื้องหลังเวทีคอนเสิร์ต กองถ่ายละคร และหลังฉากละครเวทีอีกบ้าง

จุดเริ่มต้นจาก “นักร้องผู้ไม่เคยคิดถึงคำว่านักแสดง” อยู่ในหัวเลย

“…จริงๆตั้งแต่เด็กพี่ไม่เคยคิดว่าพี่เป็นนักแสดงเลยพี่เป็นนักร้อง (ยิ้ม) คือร้องเพลงตั้งแต่อยู่ป. 5  ที่กรุงเทพคริสเตียน (โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย) ก็ร้องอยู่วงประสานเสียงคือนักร้องในโบสถ์นั่นแหละร้องมาเรื่อยจน ม.1 – .2  คราวนี้ทำเป็นวงก็เป็นนักร้องด้วยเล่นกีตาร์ด้วยโดยไม่มีเรื่องการแสดงอยู่ในหัวเลยแล้วก็ทำร้านตั้งแต่อายุ19 ปี(ร่วมหุ้นเปิดผับกับพี่ชายชื่อว่า"มัสแตง") อยู่ที่สีลมพลาซ่าสมัยนั้นก็จะมีร้านอยู่เยอะเลยข้างบนก็จะมีร้านของ "หม่อมน้อย" (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพเทวกุล) อยู่ด้วยแล้วข้างล่างก็จะเป็นร้านพี่หม่อมก็เลยมาเจอ 

คือตอนนั้นหม่อมกำลังหาคนมาเล่นเป็นน้องชาย "พี่ตั้ว ศรัณยู"(ศรัณยู วงศ์กระจ่าง) แล้วตอนนั้นพี่ผมยาวประมาณรากไทรหน่อยๆแล้วพี่ตั้วก็ผมยาวสูงใกล้เคียงกันเขาก็เลยเรียกไปCast  ดูแล้วด้วยความหน้าด้านของความเป็นนักร้องมันก็ไม่ใช่อ่านบทไงคือบางคนอ่านฉันก็ออกเสียงว่าฉันตรง ๆ ตัวแต่เราอ่านชั้น”  ก็เลยได้(หัวเราะ) ก็เรียนการแสดงกับหม่อมอยู่สักเดือนสองเดือนก็เปิดกล้องเลย 

หม่อมสอนร้องเพลงด้วยนะไม่ใช่แค่การแสดงห้อง Lecture ยาวๆนี่หละแล้วก็เอากระดาษA4 มาม้วนเป็นไมค์หม่อมนั่งอยู่แล้วก็ให้เราอยู่อีกฝั่งเอ้า! ร้องให้เขารู้สึกโอ้! ร้องอยู่ชั่วโมงกว่ากว่าจะรู้สึกนี่แหละนี่มันก็คือการสื่อสารมันไม่ใช่แค่เสียงร้องมันเป็นทั้งตัวอ่ะคุณต้องทำให้ผมรู้สึกให้ได้ว่าคุณร้องอะไรโดนหมดครับแล้วยิ่งเรียนการแสดงกับหม่อมหม่อมให้เริ่มตั้งแต่การเป็นดอกบัวใต้น้ำค่อยๆผุดขึ้นชูดอกขึ้นมาจนเป็นดอกบัวบานหรือเป็นเมล็ดมะขามเล็กๆอยู่ใต้ดินค่อยๆโตจนออกมากลายเป็นต้นไม้ใหญ่นี่คือชั้นเรียนการแสดงของหม่อมบางคนฝึกไปจนขั้นสูงอย่าง "พี่นกฉัตรชัย" (ฉัตรชัยเ ปล่งพานิช)เป็นถึงพิมพ์ดีด (หัวเราะ) ไม่รู้ติงติงติงติงติงติ๊ง (ทำเสียงพิมพ์ดีด) นี่คือการสร้างความเชื่อในชั้นเรียนการแสดงใครผ่านหม่อมมีวิชาติดตัวทุกคนแล้วก็ยังอยู่ทุกคน "ฉัตรชัย" "สินจัย" (สินจัย เปล่งพานิช) "พงษ์พัฒน์" (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) เป็นต้นแล้วก็ยังอยู่แถวหน้ากันหมดเลย…”

เมื่อ “น้องใหม่ในสมัยนั้นหันมามองวงการบันเทิงไทยสมัยนี้

“….สมัยก่อนยังไม่เหมือนสมัยนี้รู้สึกว่าเราโชคดีที่เกิดมาในสมัยที่ยังไม่มี Social Media ใดๆทั้งสิ้นทำให้ความเป็นส่วนตัวมันยังอยู่ค่อนข้างเยอะการปรับตัวไม่ต้องเยอะมากเดินไปไหนมาไหนคนเห็นคนจำได้เขาก็ทักคนสมัยก่อนไม่มีกล้องไม่มีใครสะพายกล้องอยู่ตลอดเวลาโทรศัพท์มือถือยังไม่มีเลยเพราะฉะนั้นการถูกถ่ายรูปอะไรต่างๆมันน้อยมาก 

แต่เด็กสมัยใหม่นี่พี่ใช้คำว่าสงสารก็อาจจะได้เลยนะเขาต้องระวังตัวมากๆคือทุกคนมีกล้องหมดมันทำอะไรบ้าๆบอๆยากสมัยนี้นี่ไปไหนมาไหนมันลำบากทุกคนพร้อมที่จะจับผิดทำอะไรที่เขาคิดกันไปได้ว่าไม่ดีไม่ได้เลย 

แต่การทำงานพี่ว่าดีขึ้นเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้นมีการศึกษากันอย่างจริงจังมีมหาวิทยาลัยที่สอนกันด้านธุรกิจบันเทิงอย่างจริงจังเยอะขึ้นสมัยก่อนมีไม่กี่ที่หรอกหรือร้องเพลงดนตรีก็ตามทุกอย่างมันมีหลักสูตรอย่างจริงจังเพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาอยู่ในวงการก็จะมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น…”

“ความเป็นส่วนตัวที่ต้องแลกอย่างเข้าใจ” เมื่อเลือกใช้ชีวิตในวงการบันเทิง

“…การทำงานในวงการบันเทิงมันมีสิ่งที่ต้องแลกใช้คำว่าต้องแลกนะอย่าบอกว่าเสียดายเลยใหญ่ๆเลยก็คือความเป็นส่วนตัวชีวิตส่วนตัวอันนี้คุณต้องแลกเลย  คุณเดินไปไหนคนรู้จักคุณคนทักทายคุณคุณทะเลาะกับแฟนมาคุณหน้าบึ้งก็ไม่ได้ (หัวเราะ) อ้าวมีคนมาทักอ่ะก็ต้องยิ้มอันนี้เป็นเรื่องปกติแต่ถ้าใช้เวลาสักพักหนึ่งมันก็ชินกับการที่เราจะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวมันก็ชินเองแหละบางทีถ้าเกิดอารมณ์ไม่ดีทะเลาะกับใครหรือคิดมากก็ไม่ต้องออกจากบ้านอยู่บ้านไป (ยิ้ม)

โชคดีอีกแหละที่เราเป็นนักร้องเพลงฟังเพราะฉะนั้นกลุ่มเป้าหมายของเราก็ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่สุขุมคือเราไม่ใช่นักร้องเพลง Rock ที่จะมีสาวกเป็นของตัวเองหรือเป็นเพลงPop จ๋าๆแล้วก็จะมีแฟนเพลงมากรี๊ดอะไรเยอะแยะส่วนใหญ่คนฟังเพลงของเราเป็นผู้ใหญ่ค่อนข้างเรียบร้อยด้วยซ้ำไปเพราะฉะนั้นแฟนคลับที่น่ากลัวๆอะไรแบบนี้ไม่มีเลย (ยิ้ม) แล้วแต่ก่อนเขาจะเขียนจดหมายมาที่บ้านเราก็ตอบบ้างตามแต่จะทำได้ตอนเด็กๆเราจะเป็นคนที่เขียนจดหมายอะไรแบบนี้ไม่ค่อยเป็นเราจะได้แต่ส่งรูปกลับไปแล้วก็มีลายเซ็นน่ารักดีเนอะ(ยิ้ม)…”

ต่อให้เจอเรื่องแย่แค่ไหนก็ไม่เคยคิดหันหลังให้วงการ

“…แย่ที่สุดก็อาจจะเป็นช่วงนู้น (ลากเสียง) ซึ่งเราทำเพลงชุดแรกทำเพลงกับที่หนึ่งแล้วก็มีอีกบริษัทหนึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายแล้วสมัยก่อนเทปนี่เขาตัดที่ 25,000 ม้วนคือม้วนที่ 25,001 เราถึงจะได้ส่วนแบ่งเฮ้ย! เพลงเราคนรู้จักขนาดนี้เขาบอกว่าขายไม่ถึง 25,000 ม้วนก็คล้ายๆจะรู้สึกว่าเราโดนโกงไปหรือเปล่าชุดนั้นเราเลยได้แค่ค่าร้องเพลงแล้วก็มาเล่นหนังกับอีกหนึ่งบริษัทแล้วบริษัทเขาก็เจ๊ง (หัวเราะ) สัญญาว่าจะได้ 50,000 บาทเขาก็ให้มา 10,000 เดียวในพ.. นั้นมันเป็นอะไรแบบสมัยก่อนน่ะ (ยิ้ม) สมัยนี้ไม่มีแล้วสมัยนี้มีสัญญาอะไรกันชัดเจนแล้ว 

แต่เราไม่เคยเหนื่อยหรือคิดออกจากวงการนะด้วยวิธีคิดของเราที่ได้เรียนกับหม่อมน้อยเขาก็ไม่ได้สอนแค่การแสดงหรือการร้องเพลงหม่อมก็จะสอนวิธีคิดให้ด้วยว่าจะอยู่อย่างไรกับอาชีพนี้ให้มีคุณภาพคือเขาจะเน้นเรื่องศิลปะเราทำงานศิลปะไม่ต้องไปห่วงว่าสตางค์จะไม่มีเราทำงานศิลปะนี้ให้มันดีให้จริงจังแล้วเงินจะตามมาเอง…”

หลักการทำงานศิลปะของ “กบ ทรงสิทธิ์” คือทำให้สุดชีวิตเสมอ

“…เวลางานมันดังๆอย่างเลือดข้นคนจางไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาเลยไม่คิดว่ากระแสมันจะดีด้วย(หัวเราะ) เราก็ทำหน้าที่นักแสดงไป จริงๆ มันตายมากี่เรื่องแล้ว อีกเรื่องที่ฉายคู่กัน (ด้วยแรงอธิษฐาน) อันนั้นก็ตายนะ แต่ไม่เห็นจะดังขนาดนี้เลย มันประกอบไปด้วยหลายๆอย่าง ถาม "ย้ง" (ทรงยศ สุขมากอนันต์ – ผู้กำกับละครเลือดข้นคนจาง) ย้งก็ไม่รู้หรอก ถ้าคิดแล้วมันดังได้ทุกเรื่อง มันก็รวยกันทั้งประเทศแล้วสิ เราแค่ทำดีที่สุดเท่าที่เราคิดเพราะไม่ว่ามันจะดังหรือไม่เราจะไม่เสียใจที่ทำเต็มที่แล้วก็เหมือนเพลงนั่นแหละ บางทีคิดดีแล้ว ทำดีแล้ว แต่คนฟังไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น ก็ไม่ดัง มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง อย่าง "เพลงปาฏิหาริย์"ออกปี 2534 ไม่ดังนะวิทยุก็ไม่เปิดมันมาดังปี 2536 แล้วมาแล้วทีนี้มันก็อยู่มาตลอดชีวิตเลย แล้วเขาก็เอาเพลงปาฏิหาริย์มาถอดสมการ เอาแบบนี้อีกเพลงหนึ่ง ออกนะ ก็ทำออกมา ชื่อเพลงขอเพียงจำไว้ ก็ไม่ดัง งานศิลปะมันก็แบบนี้แหละ…”

ให้ร้องก็ได้ให้แสดงก็ดีเพราะทั้งสองสิ่งนี้ไปด้วยกันได้ด้วยความเชื่อ”

“…เมื่อเรามองวิธีคิดการทำงานของเราว่าเรากำลังทำงานศิลปะการแสดงเราเลยไม่เคยเจอบทที่เล่นยังไงก็เล่นไม่ออกเลยกะเทยก็เล่นแล้ว (หัวเราะ) เรื่องชายครับ (ผมเป็นชาย)” อันนั้นโดนหลอกด้วยซ้ำคือตอนแรกเขาบอกว่าเป็นแมนๆคือเป็นทางเกย์นั่นแหละยกน้ำหนักแล้วก็เข้า Locker  มาซับหน้าไปๆมาๆเอ๊ะแต่งหญิงเลยอ่ะ (หัวเราะ) ย้อมผมใส่รองเท้าส้นสูงอ่ะรับปากเขาแล้วก็ต้องเล่นล่ะไม่เคยต้องเล่นละครเสร็จพักกินข้าวแล้วต้องเปลี่ยนชุดนะแต่อันนี้ทนไม่ไหวจริงๆต้องเปลี่ยนชุดแล้วถ่ายแต่ละที่นะอย่างสมัยนั้นเป็นโรบินสันรัชดาฯนี่คนเต็ม (ลากเสียง) อายเหมือนกันนะ 

แล้วการแสดงกับการร้องเพลงเป็นศาสตร์ที่ใกล้กันมากการแสดงใช้ความเชื่อเชื่อว่าตัวเองเป็นตัวละครตัวนั้นถ่ายทอดมาจากบทร้องเพลงก็เหมือนกันถ้าคุณร้องเพลงแล้วคุณไม่เชื่อในสิ่งที่คุณร้องคนฟังก็ไม่เชื่อคุณเพราะฉะนั้นมันไปด้วยกันได้และมันไปด้วยกันได้ดีเสียด้วยซ้ำมันถึงมี Musical (ละครเพลง) จริงๆมันผสมผสานระหว่างความเป็นนักร้องของคุณและความเป็นนักแสดงของคุณเข้าด้วยกันจะบอกว่าชอบอันไหนมากกว่าบอกไม่ได้จริงๆเพราะมันไปด้วยกันได้…”

“กบทรงสิทธิ์ผู้หมั่นเติมไฟให้ตนเองเสมอด้วยการแสดงละครเวที”

“…ละครทีวีเป็นเรื่องที่ต้องทำ  ละครเวทีเป็นเรื่องที่ต้องทำยิ่งกว่าคือเมื่อคุณใช้ชีวิตเล่นละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ไปเรื่อยๆทุกอย่างมันถูกกำหนดโดยเวลาการทำงานความละเอียดมันน้อยกว่าละครเวทีมากละครเวทีเรื่องหนึ่งซ้อมเป็นเดือนๆซ้อมกันจนกว่าจะจำดังนั้นความมีวินัยการออกกำลังกายการWarm เสียงWarm ร่างกายและโดยเฉพาะการตีความการอยู่กับตัวละครมันเกิดขึ้นเรื่อยๆกลับกลายเป็นว่าการเล่นละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ไปเป็นเวลานานๆไฟคุณจะมอดลงไปเรื่อยๆฝีมือคุณจะมอดลงไปเรื่อยๆการได้กลับไปเล่นละครเวทีสักครั้งหนึ่งในรอบสามปีห้าปีมันเหมือนกับการRefresh ตัวเองเหมือนการเข้าโรงเรียนอีกครั้งหนึ่งคุณต้องมีWorkshop มีเรียนการแสดงมีการออกกำลังกายเป็นหมู่มีการWarm เสียงทุกวันแล้วพอคุณเสร็จจากละครเวทีคุณกลับไปเล่นละครโทรทัศน์ละครโทรทัศน์กลายเป็นขนมของคุณเลย

ตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆก็เล่นละครเวทีมาตลอดสมัยเมื่อ30 ปีที่แล้วมันจะมีโรงละครเล็กๆอยู่โรงละครหนึ่งที่ฮิตมากชื่อโรงละคร มณเฑียรทองเธียเตอร์(โรงแรมมณเฑียรได้ดัดแปลงห้องเต้นรำให้เป็นโรงละครขนาดเล็กมีผู้จัดละครรับผิดชอบการแสดงของตนเองทุกคืนราว2 เดือนโดยโรงแรมจะรับผิดชอบด้านอาหารเครื่องดื่มให้ผู้ชมแล้วก็เล่นละครกันตอนนั้นก็มี "อาจารย์เสรี" (รศ.เสรี วงษ์มณฑา), สันติสุข พรหมศิริ, พี่ดู๋ (สัญญา คุณากร), พี่เกม (ศานติ สันติเวชกุล), พี่ปุ๊ย (ผอูน จันทรศิริ), พี่หมู (กลศ อัทธเสรี), พี่ตุ๊ก (ญาณี จงวิสุทธิ์), พี่โหน่ง (วสันต์ อุตตมะโยธิน), ป้าแจ๋ว (ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์) ขาละครเวทีทั้งหลายอยู่กันตรงนั้นหมดพี่ก็ได้เคยเล่นอยู่ตรงนั้นแล้วทุกคนที่เคยผ่านมณเฑียรทองเธียเตอร์  ไม่มีวันตายยังมีอาชีพนี้กันอยู่ทุกคนแล้วคนกลุ่มนี้จะรู้กันว่าถ้ามีเวลาว่างก็จะต้องเล่นละครเวทีควรจะเล่นเลยล่ะ…”

“ศิลปินผู้เลือกที่รับหน้าที่ช่างฝีมือ” ให้วงการบันเทิงตลอดชีวิต

“…อยากจะเล่นละครร้องเพลงไปเรื่อยๆแบบนี้แหละคืออาชีพเรามันเป็นช่างมากกว่าซึ่งตอนนี้ช่างฝีมือมันเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆกลายเป็นผู้รับเหมาไปหมดแล้วคือเขาไปเป็นผู้จัดละครกันมันจะเหลือนักแสดงที่แสดงอย่างเดียวไม่เยอะแล้วโดยเฉพาะรุ่นเราด้วยมันจึงควรเหลือช่างไว้ให้จ้างบ้างตั้งใจว่าจะเล่นละครไปจนเท่า "มี้"(พิศมัย วิไลศักดิ์) เอาอย่างนั้นเลยจะอยู่ไปอย่างนี้เรื่อยๆ 

วงการบันเทิงสำหรับพี่มันก็คือธุรกิจที่ดีงามธุรกิจหนึ่งซึ่งสังคมขาดไม่ได้สังคมไม่มีโทรทัศน์นี่เครียดกันตายเลยนะ (เน้นเสียง) แล้วยิ่งคนไทยด้วยแหละคนไทยชอบดูโทรทัศน์ดูหนังดูละครมันเป็นเวทมนตร์ด้วยซ้ำไปง่ายๆอย่างเข้าโรงหนังกลางๆเรื่องอยากให้สังเกตตัวเองนิดหนึ่งว่าคุณเป็นใครล่ะบางทีคุณลืมด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใครแล้วคุณเข้าไปกับเรื่องคุณร้องไห้ไปกับเขาลุ้นไปด้วยกันคุณลืมไปด้วยซ้ำว่าบ้านคุณอยู่ไหนเฮ้ย! นี่มันคือเวทมนตร์  ซึ่งตรงนี้มันคือเสน่ห์ของวงการบันเทิงสื่อบันเทิงอะไรก็ตามมีคุณสมบัตินี้หมดแค่มันต้องมีพลังพอที่จะดูดคุณเข้าไปบ้านเมืองไหนมีละครเยอะๆบ้านเมืองนั้นน่ะเจริญและสงบสุขทุกคนพร้อมจะบันเทิงเฮฮาสังสรรค์กันดังนั้นสังคมจึงมีความสุขเมื่อไหร่ที่โรงละครมันตายไปเรื่อยๆอันนี้น่ากลัวแล้วเพราะฉะนั้นเราก็จะอยู่ตรงนี้ต่อไปเพราะมันขาดไม่ได้จริงๆ…” 

******************

ขอขอบคุณสถานที่ : Alano Coffee & Car Wash โยธินพัฒนา

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0