การประกาศเปิดตัว Libra (ลิบร้า) สกุลเงินดิจิทัล อย่างเป็นทางการ ของ เฟซบุ๊ก ร่วมกับ 27 พันธมิตร ในลักษณะของ Libra Association องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อสร้างโครงสร้างทางการเงินระดับโลก นับว่า เป็นการเขย่าโลกการเงินครั้งใหญ่ สร้างความสะเทือนให้กับโมเดลธุรกิจธนาคาร ระบบชำระเงิน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะด้วย พันธกิจของ Libra คือ การเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน และสกุลเงินของโลกที่คนนับพันล้านคนเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่า ผู้คนกว่า 1,700 ล้านคนทั่วโลก ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร สามารถโอนเงินระหว่างประเทศได้สะดวกรวดเร็วผ่านสมาร์ทโฟน โดยไม่พึ่งสถาบันการเงิน ไม่มีค่าธรรมเนียมการโอน และอัตราแลกเปลี่ยน
จะว่าไปแล้ว จุดเริ่มต้นของ Libra มีความคล้ายกับ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่ได้รับความนิยมมากสุด โดยเฉพาะ ธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศ ที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก แต่ Bitcoin ไม่ได้ถูกนำไปซื้อสินค้าและบริการมากนัก เพราะมูลค่ามีความผันผวนสูง Libra จึงถูกออกแบบมาเพื่อปิดจุดอ่อน และยังคงรักษาจุดเด่นด้านความปลอดภัยของสกุลเงินดิจิทัล ที่ทำงานบนระบบ Blockchain พร้อมเพิ่มความสามารถ รองรับธุรกรรมของประชากรโลกได้หลายพันล้านคน
แม้ว่า Libra จะเกิดมาเพื่อเขย่าโลกการเงิน แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ขณะที่ ผู้ให้บริการทางการเงิน จะได้รับผลกระทบจาก Libra แต่ในกลุ่มของโซเชียลอีคอมเมิร์ซ ดูเหมือนว่า จะได้รับประโยชน์มากสุด เพราะทำให้การซื้อขายสินค้าผ่านบริการต่างๆ ของเฟซบุ๊กทำได้ง่ายขึ้น สามารถทำธุรกรรมข้ามแพลตฟอร์มในกลุ่มเฟซบุ๊ก ทั้ง Messenger WhatsApp และอินสตาแกรม
เมื่อทิศทางเป็นเช่นนี้ เห็นที สถาบันการเงินทั่วโลก จะต้องปรับตัวให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์การแข่งขัน ซึ่งไม่ต่างจากหน่วยงานที่กำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ต้องรู้เท่าทัน ถือเป็นความท้าทายของระบบการกำกับดูแลทั่วโลก
ทั้งนี้ Libra นอกจากเป็นความท้าทายของระบบการกำกับดูแลทั่วโลก ยังเป็นเรื่องใหม่ที่มีรายละเอียดมากมาย แต่สุดท้ายพวกเราจะได้ประโยชน์อะไรจาก Libra คงต้องรอติดตามอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดใช้งานในปี 2563 แต่ที่แน่ๆ ปรากฏการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นการ disrupt โลกการเงินครั้งสำคัญ
ประภาศรี รัตนะคุปต์
