โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

‘I’m ฝ้าย, thank you. And you?’ ศิลปะในการดื้อและการพิสูจน์ให้เห็นของฝ้าย BNK48

a day magazine

อัพเดต 08 ก.ค. 2563 เวลา 10.30 น. • เผยแพร่ 08 ก.ค. 2563 เวลา 10.00 น. • ฆฤณ ถนอมกิตติ

“เก็ตฟีลเราใช่ไหม”

ฝ้าย–สุมิตรา ดวงแก้ว หรือ ฝ้าย BNK48 ลงท้ายประโยคบอกเล่าด้วยคำถามนี้บ่อยครั้งระหว่างสนทนากับเธอ

ถึงตอนนั้นผมจะพยักหน้าตอบรับเพื่อให้บทสนทนาเดินไป แต่สารภาพตรงนี้ว่าผมไม่อาจคิดว่าตัวเองจะเข้าใจความรู้สึกของฝ้ายได้ทั้งหมดหรอก เพราะผมไม่ได้ผ่านชีวิตใกล้เคียงกับหญิงสาววัย 24 ปีที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทั้งความกดดันในการใช้ชีวิตเป็นไอดอล การต้องแบกรับความคาดหวังในสปอตไลต์ และการต้องพิสูจน์ตัวเองกับใครหลายคน

“เราสู้มาตั้งแต่เด็ก และสู้มาคนเดียวตลอด” ช่วงหนึ่งระหว่างการสนทนาฝ้ายบอกผมแบบนั้น

‘สู้มาคนเดียว’ ฟังดูโดดเดี่ยวชะมัด

ผมมาพบกับฝ้ายด้วยวาระที่ซีรีส์ The Underclass ห้องนี้ไม่มี..ห่วยที่เธอร่วมแสดงออกอากาศตอนแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ในเรื่องฝ้ายรับบทป็น ‘แตม’ ประธานนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีบุคลิกนิ่งเงียบ รักความสมบูรณ์แบบ และมีความร้ายลึกในตัว นี่เป็นผลงานการแสดงครั้งที่ 2 ของเธอต่อจากภาพยนตร์ Where We Belong เมื่อปีที่แล้ว และเป็นอีกหนึ่งงานที่เธอนิยามว่า ‘ท้าทาย’ นอกเหนือจากการเป็นสมาชิกวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 มาได้ 2 ปี 

ทั้งหมดนี้เองคือต้นเรื่องความสงสัยที่พาผมมาพูดคุยกับฝ้ายในบ่ายวันหนึ่ง แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มต้นและดำเนินไป บทสนทนาพาเราไปไกลกว่าที่คิด ประโยคแล้วประโยคเล่าที่บอกเล่าและแสดงความเห็นต่อเรื่องต่างๆ ของฝ้ายกลับพาผมเดินทางมาที่จุดเริ่มต้นของ ด.ญ.สุมิตรา ดวงแก้ว เด็กสาวคนหนึ่งในจังหวัดลำพูนที่มีความฝันในการเป็นศิลปินระดับโลก

“เก็ตฟีลเราใช่ไหม”

ที่ฝ้ายถาม ผมอาจไม่แน่ใจ

แต่คำถาม-คำตอบในบรรทัดต่อไปมีหน้าที่เพื่อคลี่คลายสิ่งนั้น

 

เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้กำกับซีรีส์ The Underclass ห้องนี้ไม่มี..ห่วย ได้โพสต์เบื้องหลังบอกว่าตัวละคร ‘แตม’ กับคุณนั้นจริงๆ แล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ในมุมของคุณ คุณว่าตัวเองเหมือนหรือต่างจากตัวละครนี้

เราว่ามีทั้งเหมือนและต่าง ความต่างอย่างแรกคือ ในซีรีส์แตมเป็นคนที่มี privilege ในชีวิตมากๆ เขาเป็นคนที่อยู่ท็อปของสังคม แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม่เคยสักครั้งที่เราคิดว่าตัวเองมีทุกอย่างแล้ว ในความเป็นจริงเราถือว่าตัวเองเป็นคนที่ขาดค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่เป็นเราที่ต้องวิ่งไล่ตามบางอย่าง หรืออย่างการที่แตมมีเป้าหมายในการเป็นที่หนึ่งก็ต่างกับเราที่เป็นคนไม่ชอบแข่งขัน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เรากับแตมอาจมีเหมือนกัน คือการเป็นคนมีเป้าหมายชัดเจนในชีวิต เพียงแต่เป้าหมายเราไม่ได้แข่งกับใคร เราแข่งกับตัวเอง

 

ในส่วนที่ต่าง คุณเข้าถึงบทบาทการแสดงยังไงบ้าง

ยากมาก เพราะนี่เป็นการแสดงซีรีส์เรื่องแรกของเราด้วย ก่อนหน้านี้ที่เล่นภาพยนตร์เราแสดงเป็นตัวเองได้เต็มที่ แต่กับเรื่องนี้เราต้องใช้ทักษะอีกแบบที่แตกต่างกันคนละโลก โชคดีที่ก่อนเปิดกล้องมีเวิร์กช็อปให้เราลองฝึกสร้าง background story เช่น ตัวละครนี้ชอบทำอะไรเวลาอยู่บ้าน บ้านเขาเป็นยังไง เขาถูกเลี้ยงดูมายังไง ทั้งหมดนี้เราต้องเป็นคนคิดเอง และนั่นช่วยให้เราเข้าถึงบทได้มากขึ้น

แล้ว ‘แตม’ ในความคิดของคุณมีเรื่องราวเบื้องหลังแบบไหน

หลักๆ คือเราพยายามหาเหตุผลว่าทำไมแตมต้องการเป็นที่หนึ่งขนาดนั้น สุดท้ายเราเขียนไปว่าแตมทำเพราะต้องการให้พ่อยอมรับ ก่อนหน้าเวลาแตมทำอะไรพ่อมักจะไม่ชอบ ไม่สนใจ และไม่ยอมรับ จนแตมต้องพยายามเป็นที่หนึ่งให้ได้ตลอดเวลาเพื่อให้พ่อเห็นว่าหนูเก่งนะ พ่อดูหนูสิ พ่อไม่รักหนูบ้างเหรอ โดยที่ระหว่างนั้นต้องสร้างภาพลักษณ์คลุมอีกชั้นหนึ่งด้วยว่าฉันไม่ได้อ่อนแอ ฉันเป็นคนที่เก่งกว่าใคร

 

นี่คือภาพที่สร้างให้แตมหรือตัวเอง

(หัวเราะ) ทั้งสองอย่างล่ะมั้ง บางอย่างที่คิดขึ้นมาก็อิงจากเรา เหมือนเราพยายามหาจุดเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับแตมจนเจอ

 

ถือว่าผลออกมาเป็นอย่างที่คาดหวังไหม

ถ้าให้ตอบตอนนี้เราคงตอบว่ายังมีอะไรให้พัฒนามากกว่านี้อีกเยอะ เพราะมีบางฉากที่เรารู้สึกว่ายากมาก เช่น ฉากที่ต้องพูดประโยคที่เราไม่มีทางพูดแน่ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ก็มีบางฉากที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี

มีอยู่ซีนหนึ่งที่ตัวละครแตมต้องแสดงอารมณ์เศร้ามากๆ วันนั้นเราร้องไห้ไปประมาณ 20 กว่ารอบได้ คงเพราะเราเข้าถึงตัวละครที่เป็นแบบนั้นด้วย เพราะครั้งหนึ่งเราเคยเศร้าหนักๆ จนถึงขั้นอยากตายมาก่อน พอถึงวันที่ต้องแสดงซีนที่ต้องใช้อารมณ์เราจึงสามารถรวบรวมความรู้สึกเหล่านั้นมาที่ตัวเองและปล่อยออกไปได้ อะไรแบบนี้ทำให้เราเหมือนได้ทำลายกำแพงในใจที่มีต่อการแสดงไปด้วย เพราะด้วยพื้นฐานตอนแรก เราไม่ชอบการแสดงเลยนะ เราไม่ชอบเป็นคนอื่น แต่พอลองเปิดใจ เราพบว่าอะไรเหล่านี้ให้บางอย่างกับเรา เราเข้าใจจิตใจคนอื่นและตัวเองมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงไม่ชอบคนอย่างแตมหรอก แต่พอได้แสดงเป็นเขา เราเข้าใจแตมมากขึ้นและได้เข้าใจด้วยว่าทุกคนล้วนมีที่มาที่ไปของตัวเอง ดังนั้นถ้ามีโอกาสเข้ามาอีกเราก็อยากทำได้ดีกว่านี้

เนื้อหาของซีรีส์พูดถึงการศึกษาที่แบ่งเด็กตามผลการเรียน โดยส่วนตัวคุณคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้

เราอิน เพราะสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับชีวิตประจำวันได้ สำหรับเรา ถึงฉากหลังของซีรีส์จะเป็นโรงเรียนหญิงล้วน แต่เราว่าซีรีส์ไม่ได้พูดถึง privilege แค่ด้านการศึกษา แต่พูดถึงทุกเรื่องในสังคม พูดง่ายๆ ว่าคือความเหลื่อมล้ำในชีวิตจริงนี่แหละที่มีคนได้รับผลประโยชน์อยู่เสมอ มันใกล้ตัวเรามากๆ

 

ด้วยชื่อซีรีส์ภาษาไทยว่า ห้องนี้ไม่มี..ห่วย  แต่ในความเป็นจริงคุณว่าทุกวันนี้มีเด็กห่วยไหม

เรากลับมองว่า there’s nothing wrong ที่จะห่วยนะ คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่างนี่ อย่างถ้าคุณไม่เก่งเรื่องเรียนอาจมีคนบอกว่าคุณห่วย แต่เราว่าคุณต้องมีด้านอื่นๆ ที่เก่ง เพียงแต่เราว่าปัญหาจริงๆ คือการที่สังคมปลูกฝังให้เด็กต้องเรียนเก่งเพื่อให้ได้เกรดดีๆ พ่อแม่จะได้ชื่นชมและเอาไปคุยกับป้าข้างบ้านว่าลูกฉันเรียนเก่ง นี่ต่างหากคือสิ่งที่ทำให้เด็กกดดัน ระบบเกรดเองก็ทำให้เด็กเบี่ยงเบนจุดประสงค์ของการเรียนหนังสือไป จากที่ต้องเรียนเพื่อให้ได้ความรู้ เด็กกลับต้องมาโฟกัสที่คะแนน สุดท้ายผลเสียจึงเกิดขึ้นและเกิดการแบ่งเด็กแบบที่เห็นในซีรีส์

 

แสดงว่าในความคิดคุณ เราไม่ควรแบ่งเด็กโดยใช้เกณฑ์ใดๆ 

เราว่าไม่ควร คละกันน่ะดีที่สุดเพราะห้องเรียนจะมีความหลากหลาย ในชีวิตจริงของมนุษย์ คนรอบตัวเราก็ไม่ได้เก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกันทุกคน เราต้องเจอกับความหลากหลายอยู่แล้ว ดังนั้นเราควรทำความคุ้นชินกับความแตกต่างนี้ตั้งแต่ในห้องเรียนดีกว่า สิ่งนี้จะกลายเป็นประโยชน์เมื่อเราออกไปใช้ชีวิตในสังคมด้วยซ้ำ

 

แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่เรียนเก่งไหม เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาคุณจบจากมหาวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 

ถ้าดูจากเกรดที่ผ่านมาก็คงประมาณหนึ่ง

หลายคนเวลามี privilege มักไม่เห็นความเหลื่อมล้ำนอกเหนือจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ แต่คุณเห็นเรื่องเหล่านี้ได้ยังไง

ในความเป็นจริงสมัยก่อนเราไม่เห็นนะ เราเป็นคนหนึ่งที่โตมาในสังคมที่มีอะไรหลายอย่างกำหนดไว้อยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาเราจึงอาจทำผิดบ้างเพราะความไม่รู้และความไม่ตระหนักถึง แต่พอโตขึ้นเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นจนเราเริ่มเห็น ซึ่งถ้าเห็นเราก็แค่เปลี่ยนตัวเอง ง่ายๆ แค่นั้นเลย ดังนั้นถ้าย้อนกลับไปที่เด็กๆ เราว่าให้เด็กตระหนักถึงอะไรเหล่านี้ได้เร็วๆ คงดี

มีวิชาหนึ่งที่เราเรียนในมหาวิทยาลัยและเราว่าสำคัญมากๆ นั่นคือวิชา intercultural communication วิชานี้สอนให้เรามี awareness กับประเด็นต่างๆ ในสังคมที่เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ใช่แค่กับการศึกษา แต่เป็นเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น sexual harassment, การเหยียดเชื้อชาติ, ความเท่าเทียมทางเพศ และอีกมากมาย เราว่าความรู้เหล่านี้แหละที่ควรปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เด็กจะได้เติบโตมาโดยไม่ด่าหรือเล่นตลกกันโดยใช้เชื้อชาติ สีผิว เพศ หรือสรีระ เพราะในสิ่งเหล่านี้มีคนที่ถูกทำร้ายอยู่เสมอ 

 

ปลูกฝังให้เด็กรู้ว่าทุกคนเท่าเทียมกัน

(พยักหน้า) และเราว่าปัจจุบันกำลังเป็นไปด้วยดี ในมุมมองเราสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การมี awareness ที่มากกว่าแต่ก่อน เพียงแต่อาจขรุขระสักหน่อย เพราะในทุกความเปลี่ยนแปลงต้องมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว

พอฟังมาถึงตรงนี้ บางคนอาจแย้งว่าการเป็นไอดอลแบบคุณก็มีการจัดอันดับในวงเหมือนกันหรือเปล่า

(ยิ้ม) สำหรับเรา เราใช้วิธีการไม่เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ยอมรับว่าสมัยก่อนเราเครียดเหมือนกับอีกหลายคน แต่โชคดีที่โตขึ้นจนพอจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ ดังนั้นตอนนี้ได้อันดับอะไรก็ช่าง เราขอมีความสุขที่ได้เป็นตัวเองและลอยตัวแบบนี้ดีกว่า 

 

แต่ตอนที่เดบิวต์ คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘อยากเป็นแฮปปี้ไวรัสให้กับทุกคน’ ทุกวันนี้ยังคิดแบบนั้นไหม 

(หัวเราะ) ทุกวันนี้เวลากลับไปดูคลิปเก่าๆ เราก็คิดนะว่าทำไมฉันเด็กได้ขนาดนั้น เพราะตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมากจากตอนที่เดบิวต์ 

ตอนที่เข้าวงมาแรกๆ เราคิดกับตัวเองว่า ฉันต้องยิ้มตลอดเวลาเพื่อเป็นความสุขให้คนอื่น ผลคือช่วงนั้นเรากลับมาถึงห้องแล้วร้องไห้แทบทุกวัน เราเหนื่อยและอึดอัดมาก จนในที่สุดเราได้เรียนรู้ว่าคนเรามีความสุขตลอดเวลาไม่ได้หรอก มนุษย์มีความเศร้าและความเครียด เราไม่ควรหลอกตัวเองว่าฉันมีความสุขทั้งๆ ที่ในใจไม่ใช่ หลังจากนั้นเราจึงค่อยๆ หาสมดุลให้ตัวเองจนเริ่มนิ่งขึ้น เข้าใจความคิดตัวเองมากขึ้น ปลงมากขึ้น พูดน้อยลง เพราะอยากพูดให้มีน้ำหนักมากขึ้น จนตอนนี้เราแทบเป็นคนละคนกับตอนนั้นเลย เราเป็นตัวเองมากกว่า สบายใจมากกว่า และชอบตัวเองมากกว่าเดิม สิ่งนี้ดีกับแฟนคลับด้วยเพราะเขาจะได้รักในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ โอเค อาจมีบางคนหล่นหายบ้างแต่นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่กับเราตลอดไป เราไม่สามารถรั้งใครได้

 

มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดแบบนี้ไหม

เอาจริงๆ เพิ่งเข้มแข็งแบบนี้ได้เมื่อไม่นานนี้เอง แต่สาเหตุมาจากอะไรไม่รู้เหมือนกัน เหมือนเราผ่านช่วงที่ตัวเองทั้งดิ่งและดาวน์มาจนเริ่มคิดได้ว่าไม่อยากทุกข์แบบนี้แล้ว เราอยากมีความสุข เราเลยเริ่มหาความสุขเล็กๆ รอบตัว ไม่เอาใจไปยึดกับการแข่งขันและคำของคนอื่น เพราะสุดท้ายเรามองว่า BNK48 เป็นเหมือนโรงเรียนที่เรากำลังเรียนเท่านั้น นอกโรงเรียนนี้ยังมีโลกภายนอกรอให้เราเดินไปอยู่

 

แต่ดูโรงเรียนนี้ส่งผลกับคุณมากอยู่เหมือนกันนะ

ส่งผลมากๆ หลักๆ คือที่นี่ทำให้เราได้เจอคนหลากหลายประเภทที่เข้ามาในชีวิตจนได้เรียนรู้ว่าเราไม่สามารถเอาใจทุกคนได้ เราต้องเลือกเสพและพยายามอย่าเอาใจไปยึดติดกับคนมากเกินไป เราไม่สามารถคล้อยตามทุกอย่างที่เข้ามาปั่นหัวเราได้ (นิ่งคิด) คำว่า ‘ช่างมัน’ ทำให้เรามีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้เลยนะ เพราะถ้าไม่ช่างมัน ป่านนี้เหนื่อยจนแย่ไปแล้ว

จาก 2 ปีที่ผ่านมา เนื้อเพลงของ BNK48 ที่ว่า ‘ความพยายามไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ’ คุณว่าจริงไหม 

ไม่จริง (ตอบทันที) ความพยายามทำร้ายเราเยอะมาก (เน้นเสียงและหยุดคิด) ถ้าให้เทียบระหว่างความพยายามและโอกาส เราว่าโอกาสสำคัญกว่านะ เมื่อก่อนเราอาจตอบว่าความพยายามหรือความสามารถ แต่พอมาอยู่ตรงนี้ได้ 2 ปี เราว่าโอกาสสำคัญมากกว่า เพราะต่อให้เราพยายามแค่ไหน เก่งแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ได้โอกาสก็ไม่มีเวทีให้เราขึ้นไปอยู่ดี เหมือนถ้าไม่มีประตูเราก็ไปต่อไม่ได้ทั้งๆ ที่เรามีของอยู่เต็มมือ

 

ถ้าอย่างนั้นเราควรเอาเวลาไปหาโอกาสหรือพยายามฝึกฝนมากกว่ากัน

เราว่าต้องเอาเวลาไปเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอนั่นแหละ เพราะเท่าที่เรียนรู้มาเราไม่สามารถทำอะไรกับโอกาสได้หรอก ถ้าจะมาเดี๋ยวมันมาเอง เราไม่สามารถตามหาได้ นั่นทำให้ทุกวันนี้เราพยายาม work hard ทุกวัน เราฝึกทำเพลงเองเพราะอยากเก่งขึ้นกว่านี้ ไม่ใช่เพื่อใครที่ไหนแต่เพื่อตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วเรามีเป้าหมายค่อนข้างสูงที่อยากไขว่คว้า ระหว่างนี้เราถึงหยุดไม่ได้แม้ยังไม่มีโอกาสเข้ามา 

 

เป้าหมายค่อนข้างสูงที่ว่าคืออะไร

เราอยากเป็นศิลปินที่ไปเวิลด์ทัวร์ได้

ความฝันนี้มีที่มายังไง

ตั้งแต่เด็กแล้วที่เราชอบร้องเพลง เราอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นไอดอลเหมือนศิลปินที่เราชื่นชอบที่สุดนั่นคือ IU เขาเป็นศิลปินที่ทั้งทำเพลงเองและมีความเป็น human being สูงมากๆ เราอยากเป็นแบบนั้น อยากเป็นคนที่ทำเพลงและถ่ายทอดอารมณ์เพลงไปสู่ผู้ฟังได้ดี ดังนั้นเพื่อเป้าหมายนี้เรารู้ว่าต้องใช้เวลาและพยายามให้หนักกว่าเดิมในทุกวัน

 

ไม่คิดว่าเวิลด์ทัวร์คือฝันที่ใหญ่เกินไปเหรอ

ไม่เป็นไร สุดท้ายเราอาจไปไม่ถึงเวิลด์ทัวร์ก็ได้ แต่การที่เราได้พัฒนาตัวเองจนสามารถทำเพลงของตัวเองและได้รับการยอมรับ นั่นถือว่าดีมากแล้ว

 

ถ้ามองเป็นบันไดร้อยขั้น คุณว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ขั้นไหน

(นิ่งคิดนาน) ประมาณขั้นที่ 60 มั้ง เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่า BNK48 เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตเราเอง 

 

แต่เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตที่คุ้มไหม

คุ้มแน่นอน เพราะถ้าไม่มีที่นี่เราคงไม่ได้มานั่งคุยกันแบบวันนี้ หัวใจเราคงไม่เข้มแข็งแบบตอนนี้ ความคิดเราคงไม่โตขึ้นแบบนี้ หรือมากกว่านั้น บางทีอาจไม่ได้ร้องเพลงแล้วด้วยซ้ำ และถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องตายแน่ๆ 

เท่าที่ฟังมา ทำไมการเป็นตัวเองหรือการทำสิ่งที่อยากทำถึงสำคัญกับคุณขนาดนั้น

เราว่าเพราะเราเคยผ่านช่วงที่ต้องเป็นคนอื่นหรือทำอย่างอื่นให้คนรักมาก่อนนั่นแหละ แต่พอทำไปเรื่อยๆ เราพบว่าเหนื่อยมาก ดังนั้นเราเป็นตัวเองดีกว่าเพราะตัวเราคงมีความสุขที่สุด เราอยากทำอะไรที่สบายใจและไม่เหนื่อยตัวเองมากเกินไป

 

การเป็นตัวเองทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

ตรงกันข้ามเลย ยากมากต่างหาก อย่างเราเองเคยผ่านจุดที่ครอบครัวไม่สนับสนุนมาแล้ว

สมัยมัธยมมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราขอพ่อแม่ไปออดิชั่นกับค่ายเพลงต่างประเทศค่ายหนึ่ง ตอนนั้นเราทะเลาะกับพ่อแม่แทบตาย ร้องไห้หนักมาก จนสุดท้ายเราบอกเขาว่า ‘ขอไปแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ได้จะไม่พยายามอีกแล้ว’ ต้องพูดขนาดนี้เขาถึงยอมให้ไป และผลคือเราก็ไม่ผ่านจริงๆ น่าเศร้านะ เพราะหลังจากนั้นเราเลิกล้มความคิดเรื่องนี้ไปเลย ใช้ชีวิตแบบเด็กธรรมดาจนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ความอยากเป็นศิลปินกลับเข้ามาอีกเพราะได้เห็นรุ่นพี่ในชมรมที่เป็นศิลปินเยอะมาก รวมถึงได้เห็นเพื่อนเราที่เป็นโรคซึมเศร้า เขาบอกเราว่าตัวเองมีแพสชั่นในการใช้ชีวิตต่อได้เพราะตามวง AKB48 นั่นทำให้เราประทับใจมาก เพราะตรงกับเป้าหมายเราพอดีที่อยากเป็นศิลปินที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ดังนั้นพอเห็นประกาศรับสมัครของ BNK48 เราจึงลองดู 

 

ทำไมศิลปินแบบที่คุณอยากเป็นถึงเน้นการทำเพื่อคนอื่น ฟังดูย้อนแย้งไหม

ในความคิดเรา เราว่าชีวิตคนน่ะเกิดมาแล้วก็ดับสูญไป ระหว่างนั้นเราต่างใช้ชีวิต ‘เพื่อตัวเอง’ ไปตลอด แต่เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกว่านอกเหนือจากการทำเพื่อตัวเอง ถ้าเราได้ทำเพื่อคนอื่นด้วยก็คงดีมากๆ ยิ่งถ้าสิ่งที่เราทำตามใจตัวเองสามารถช่วยใครหลายคนได้ นั่นดีที่สุด ดังนั้นสำหรับเรา เมื่อสองอย่างนี้รวมกันจึงออกมาเป็นความฝันนี้ 

แล้วพ่อแม่คุณโอเคกับความฝันของคุณหรือยัง เขารู้สึกยังไงกับการเป็น BNK48 

ตอนนี้โอเคแล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่อยากให้เป็นหรอก ‘จะเป็นทำไม เต้นกินรำกิน’ เป็นประโยคยอดฮิตนะ แต่โชคดีที่ที่ผ่านมาเราเป็นคนดื้อมาตั้งแต่เด็ก ในบ้านเราดื้อที่สุดแล้ว เขาห้ามยังไงเราก็ไม่ฟัง อย่างเรื่องมหาวิทยาลัย ที่บ้านอยากให้เราเรียนที่เชียงใหม่จะตาย เราก็ไปสอบให้ ติดด้วยนะ แต่ก็ไม่เอา เพราะเราอยากมาเจอสังคมใหม่ๆ ที่กรุงเทพฯ และอะไรเหล่านี้เราเลือกที่จะไม่อธิบายด้วย แต่เราทำให้เขาเห็นมากกว่า เช่น ถ้าเขาห่วงเรื่องเรียน เราก็แค่ทำให้เขาเห็นว่าเราเรียนไม่ได้แย่ เราสามารถทำทั้งสองอย่างไปด้วยกันได้ สุดท้ายทุกวันนี้พอเราทำอะไรสำเร็จเขาจะโอเคกับเราเอง กลายเป็นพร้อมซัพพอร์ตเราด้วยซ้ำ 

 

คุณว่าถ้าเด็กหญิงฝ้ายที่เคยฝันอยากเป็นศิลปินในตอนนั้นมาเห็นคุณตอนนี้ เขาจะดีใจไหม

เขาต้องภูมิใจแน่ๆ เพราะตอนนี้เราก็ภูมิใจในตัวเองมาก จากเด็กซนๆ คนหนึ่งเดินทางจากลำพูนมาถึงตรงนี้ มันไกลมาก (นิ่งคิดนาน) จริงๆ เราเป็นคนเซนซิทีฟกับเรื่องนี้นะ เมื่อก่อนเราร้องไห้บ่อยมาก เพราะมีปัญหากับเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่นั่นก็เป็นแรงผลักดันให้เราสู้มาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน เราใช้ชีวิตโดยสู้คนเดียวมาตลอด ล้มลุกคลุกคลานมาเยอะเพื่อพิสูจน์ให้คนเห็น เราทำแบบนี้มาทั้งชีวิต นั่นทำให้เราเสียอะไรระหว่างทางไปเยอะมาก ให้นึกเป็นข้อๆ ยังนึกไม่ออกเลยเพราะมันมากมายจริงๆ ดังนั้นมันเหนื่อยนะ แต่ทำยังไงได้ล่ะ ถ้าพูดเฉยๆ คนอื่นเขาไม่ฟังหรอก เขาไม่เชื่อหรอก สู้เราทำออกมาเป็นรูปธรรมดีกว่า อย่างน้อยที่สุดเราก็รู้สึกดีกับตัวเอง

 

สุดท้าย ถ้าให้ย้อนคิด คุณว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ตัวเองไม่ล้มเลิกไปเสียก่อน

(นิ่งคิดนานมาก) ไม่รู้ แต่เราว่าถ้าเป็นสิ่งที่รัก ยังไงมันก็วกกลับมาหาเราอยู่ดี 

ก็เรารักมันน่ะ มันหนีกันไม่ได้หรอก

Highlights

  • ฝ้าย–สุมิตรา ดวงแก้ว หรือ ฝ้าย BNK48 กำลังมีผลงานการแสดงซีรีส์ The Underclass ห้องนี้ไม่มี..ห่วย อยู่ตอนนี้ แม้เป็นงานแสดงเรื่องที่ 2 แต่เธอบอกว่านี่เป็นอีกหนึ่งงานที่ทำให้เธอเติบโตและได้เรียนรู้บางอย่าง
  • ตลอด 2 ปีในการเป็นไอดอล ฝ้ายผ่านมาแล้วทั้งจุดที่เป็นคนอื่นเพื่อให้คนพอใจ และทำอะไรก็ตามเพื่อให้คนอื่นยิ้มได้ แต่สุดท้ายเธอพบว่าการเป็นตัวเองนั้นสำคัญที่สุดในระยะยาว
  • กับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ฝ้ายบอกเราว่ามันคือส่วนหนึ่งของความฝัน เธอดื้อและพยายามเพื่อมันมาตลอดชีวิตและจะพยายามต่อไปในอนาคต
0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0