โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘ไทยที่ 1’ แหล่งลงทุนอสังหาฯสุดฮิตของชาวจีน

The Bangkok Insight

เผยแพร่ 22 ม.ค. 2562 เวลา 11.43 น. • The Bangkok Insight
‘ไทยที่ 1’ แหล่งลงทุนอสังหาฯสุดฮิตของชาวจีน

Juwai.com เว็บไซต์ซื้อ-ขายอสังหาฯอันดับหนึ่งจากชาวจีน เผยข้อมูลปี 61 อสังหาฯไทยได้รับความนิยมจากชาวจีนเป็นอันดับ 1 และเป็นอันดับ4 ที่จีนเข้ามาลงทุน คิดเป็นมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ โดยกรุงเทพฯยังมีพื้นที่น่าลงทุนอันดับแรก ระบุเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่มีต่อเนื่องสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจระยะยาว

นางแคร์รี่ ลอร์
นางแคร์รี่ ลอร์

นางแคร์รี่ ลอร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ บริษัท Juwai.com เปิดเผยว่าข้อมูลจาก Juwai.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อันดับหนึ่งสำหรับชาวจีน ในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งเข้าถึงผู้บริโภคประมาณ 3.1 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนประกาศขายอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 2 ล้านประกาศ รองรับการใช้งานกว่า 90 ประเทศ

จากข้อมูลในปี 2559-2560 พบว่าประเทศไทย ได้ถูกจัดอันดับความนิยม ในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวจีน จากลำดับ 6 ในปี 2559 ลำดับ 3 ในปี 2560 และในปี 2561 ที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจ จากผู้ซื้อชาวจีนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นชาวออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ กรีซ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ

ข้อมูลล่าสุดของปี 2561 ยังพบว่า ประเทศที่ชาวจีน เข้าไปลงทุนมากที่สุด ประกอบด้วย

  • สหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 30.4 พันล้านดอลลาร์
  • ฮ่องกง มูลค่า 16.2 พันล้านดอลลาร์
  • ออสเตรเลีย มูลค่า 14.1 พันล้านดอลลาร์
  • ไทยมูลค่า2.3 พันล้านดอลลาร์
  • มาเลเซีย มูลค่า 2.0 พันล้านดอลลาร์

นางแคร์รี่  กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้รับความนิยม ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นลำดับ 4 จากมูลค่าการลงทุน โดยกรุงเทพฯ เป็นมหานครแถวหน้าของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ปัจจุบันกรุงเทพฯ ประสบปัญหาเรื่องมลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษ ซึ่งผู้ซื้อชาวจีนคงไม่อยากเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อไปพบปัญหาอากาศเสียเหมือนกับที่เขาเผชิญอยู่

อีกปัจจัยหนึ่ง ที่นักลงทุนชาวจีนสนใจชื่นชอบอสังหาฯไทย คือ การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความเชื่อมั่นเรื่องศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

จากข้อมูล Juwai.com พบว่าในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกง ได้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย จำนวน 15,000 ยูนิต เป็นสัดส่วนถือครองตัวเลขกว่าครึ่งหนึ่ง ของนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในประเทศไทย

หากประเมินจากตัวเลขการซื้อ ชาวจีนและฮ่องกงจะเฉลี่ยราคาห้องละ 5 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าลงทุนรวมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยรวมในปี 2561 เป็นมูลค่า 75,000 ล้านบาท สำหรับพื้นที่นักลงทุนชาวจีนให้ความสนใจในประเทศไทยที่จะลงทุน อันดับ 1 คือ กรุงเทพ รองลงมาคือ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และสัตหีบ

“เราไม่เคยเห็นความต้องการของผู้ซื้อชาวจีน ต่ออสังหาริมทรัพย์ไทยสูงขนาดนี้มาก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีวิสัยทัศน์ด้านการลงทุนและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบกับปัจจัยอื่นที่เป็นตัวผลักดันให้ผู้ซื้อชาวจีน ที่กำลังมองหาทำเลในต่างประเทศ  ให้ความสนใจประเทศไทยในเรื่องราคาที่หลากหลาย เมื่อเทียบเท่ากับประเทศอื่น” นางแคร์รี่ กล่าว

นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ
นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ

นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกลเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Thailand e-Business Center (TeC) Project collaboration with Alibaba Business School เลขาธิการสมาคมดิจิทัลไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จอยฟูลเนส จำกัด กล่าวว่า หากสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศจีน ให้ประสบผลสำเร็จได้  จะเป็นใบเบิกในการดำเนินธุรกิจของตัวผู้ประกอบการเอง และเหตุผลทำไมต้องเป็นประเทศจีน มาจากคำว่า China

C คือ Chance หากย้อนไปอดีต จีนจะเป็นประเทศที่ไม่น่าไป ล้าหลัง เป็นประเทศที่ Copycat และมีมลพิษทางอากาศ แต่ช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาหลายด้าน ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แรงงาน และมลพิษลดลง ด้วยนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์

H คือ Huge จีนเป็นประเทศแผ่นดินใหญ่ และมีจำนวนประชากรมาก ทำให้กำลังการซื้อและการขายมีมาก ทำให้เป็นเป้าหมายของอุตสาหกรรม

I คือ Internet ระบบอินเตอร์เน็ตมีการใช้งานจำนวน 731 ล้านคน และใช้ซื้อของออนไลน์จำนวน 448 ล้านคน  มูลค่ารวมการบริโภค 3 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าซื้อขายออนไลน์ 7.59 แสนล้านดอลลาร์

N คือ Network ได้พัฒนาระบบต่างๆ รวมถึงระบบการค้าในรูปแบบ e-Commerce เพื่อให้ประชากร ได้ใช้งานอย่างหลากหลาย และเข้าถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว

สำหรับแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในการสั่งซื้อของประกอบด้วย

  • Taobao มีจำนวนผู้ใช้งาน 450 ล้านคน
  • JD.com มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน
  • Kaola มีผู้ใช้งาน 25 ล้านคน

รวมทั้งการจ่ายเงินผ่านระบบ E-payment ใน Alipay มีผู้ใช้งาน 350ล้านคน  WeChat Pay มีผู้ใช้งาน 850 ล้านคน ยังครอบคลุมไปถึงการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ชัดว่า เครือข่ายของการซื้อขายของธุรกิจในจีน เต็มวงจรและมีกลุ่มผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการเป็นจำนวนมาก

A คือ Advertising & Affiliate นอกจากการเจริญเติบโตในประเทศตัวเองแล้ว จีนยังผลักดันธุรกิจของตนกระจายไปยังประเทศต่างๆ โดยการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในแต่และประเทศ ส่งเสริมและช่วยเหลือทางธุรกิจ และเทคโนโลยี อาทิ การเข้ามาของ Alibaba ในประเทศไทย

ปริมาณสินค้าทั้งหมดของทุกแพลตฟอร์ม มีจำนวน 3.14 แสนล้านหยวน  เพิ่มขึ้น 23.8% จากปีที่แล้ว Tmall  68% ของส่วนแบ่งการตลาด แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด แพลตฟอร์มใหม่ในการเข้าร่วมความนิยม e-Commerce นี้คือ Pinduoduo โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 3.0%

ผู้เล่นรายใหญ่อันดับสองของ JD.COM ก็มีปีที่ทำลายสถิติเช่นกัน GMV สูงถึง 159.8 พันล้านหยวน เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 17.3%

“นี่คือเหตุผลทั้งหมด ที่ไทยควรผลักดันให้ทำธุรกิจในประเทศจีน”  นางสาวกุลธิรัตน์ กล่าวและว่า สิ่งที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการ ผลักดัน GDP ของประเทศไทย และการลดต้นทุนในการผลิตสินค้า แต่ได้คุณภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งได้โอกาสในศึกษาเทคโนโลยีจากจีน เพื่อนำมาพัฒนาประเทศไทยต่อไป

โดย TeC สามารถให้การปรึกษาในการทำธุรกิจที่จีน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นการทำเอกสาร รวมถึงวิธีการทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากจากชาวจีน และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คงไม่มีใครไม่รู้จัก Wechat ที่ยอดผู้ใช้ในปัจจุบันถือว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดไปอย่างมาก จาก ปี 2554 ที่มีผู้ใช้งานเพียง 50 ล้านคน ในปี 2560 มีสูงถึง 963 ล้านคน โดยใช้ระยะเวลาแค่ 6 ปีเท่านั้น

นายสุรเชษฐ์ กองชีพ
นายสุรเชษฐ์ กองชีพ

นายสุรเชษฐ  กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าก่อนหน้านี้ ผู้ซื้อชาวจีนอาจจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย กระจายไปตามทำเลที่คุ้นเคย หรือตามทำเลที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เช่น รัชดาภิเษก ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูตจีน รวมถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอส และ MRT ที่เดินทางได้สะดวก

แต่ในระยะหลังพบว่า การเลือกทำเลในการซื้อคอนโดมิเนียมของคนจีนเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจ หรือปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจ ให้นักลงทุนชาวจีน ได้แก่

  • ผู้ประกอบการที่มีการประชาสัมพันธ์ เข้าถึงนักลงทุนชาวจีนโดยตรงมากขึ้น ส่งผลให้หลายโครงการที่อยู่นอกพื้นที่ที่ชาวจีนเคยสนใจ ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
  • นายหน้าทั้งไทยและจีน ที่มีการนำหลายโครงการไปเสนอขาย ทั้งในประเทศไทยและที่ประเทศจีนโดยตรง สร้างความรู้จักและคุ้นเคยทำเลอื่นๆ ให้กับนักลงทุนชาวจีนมากขึ้น
  • ผู้ประกอบการชาวจีน มีส่วนในการผลักดันหลายๆ พื้นที่ให้เป็นที่รู้จักของคนจีนด้วยเช่นกัน
  • ระบบออนไลน์ที่แข็งแกร่งของประเทศจีน เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มการรับรู้ให้กับผู้ซื้อชาวจีนโดยตรง เนื่องจากสามารถค้นหาหรือทำความรู้จักแต่ละทำเลของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี

รวมไปถึงมีหลายเว็บไซต์ของนายหน้าอสังหาฯ ทั้งไทยและจีนที่ให้ความรู้เรื่องของภาวะการณ์ของตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันในแต่ละทำเล หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นประโยชน์ต่อการซื้อ-ขายคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ทำให้ในอนาคตเชื่อได้ว่าผู้ซื้อคนจีน จะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกทำเลของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ในจังหวัดท่องเที่ยว ไม่ใช่เพียงพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย  หัวหิน กระบี่ เท่านั้น คาดทำเลใหม่ในอนาคตอาจจะไปถึงหัวเมืองรองแต่ละภูมิภาคด้วย

อนาคตเชื่อได้ว่าผู้ซื้อคนจีน จะกระจายไปทุกพื้นที่ทุกทำเลของกรุงเทพฯ เมืองท่องเที่ยว และหัวเมืองรองแต่ละภูมิภาค

“การขยายตัวของกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนในอนาคต อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเป็นตัวแปร เช่น สงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ที่อาจจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจประเทศจีน การลดลงของค่าเงินหยวน มาตรการควบคุมของรัฐบาลจีน และความเข้มงวดของรัฐบาลไทย แต่สุดท้ายแล้วคนจีน จะยังคงสนใจมาเที่ยวประเทศไทย และซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันอาจจะมีปัญหาติดขัดบ้าง จากทั้งฝั่งไทยเองและฝั่งประเทศจีน” นายสุรเชษฐ กล่าว

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0