โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘ธนาธร’ รำลึก 10 เมษา สลายชุมนุม เล่านาทีร่วมเหตุการณ์กับรอยแผลที่แขนซ้าย

MATICHON ONLINE

อัพเดต 10 เม.ย. 2563 เวลา 05.07 น. • เผยแพร่ 10 เม.ย. 2563 เวลา 05.07 น.
ธนาธรเล่านาทีสลายชุมนุม-กับแผลที่แขนซ้าย

‘ธนาธร’ รำลึก 10 เมษา สลายชุมนุม เล่านาทีร่วมเหตุการณ์กับรอยแผลที่แขนซ้าย

เมื่อวันที่ 10 เมษายน เพจ ‘UDD news’ เผยแพร่ข้อเขียนของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีเนื้อหารำลึกเหตุการณ์สลายชุมนุมเสื้อแดง 10 เมษายน 2553 ความตอนหนึ่งว่า

“ผมยังจำวันนี้เมื่อสิบปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี นึกถึงวันที่ 10 เมษายนเมื่อใด แผลที่แขนข้างซ้ายก็แสบร้อนขึ้นมาเมื่อนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนั้นเป็นวันที่มีอิทธิพลกับชีวิตผมมากที่สุดวันหนึ่ง

วันที่ 10 เมษาปีนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดแผลบนแขนข้างซ้ายของผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้เกิดแผลที่บาดลึกในสังคมไทยที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาจนถึงทุกวันนี้

หลายคนอาจลืมไปแล้วว่าวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 เกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจจะจำเป็นที่เราจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้วอีกครั้งเพื่อตระหนักถึงวัฒนธรรมการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน”

นายธนาธร ยังย้อนลำดับถึงสาเหตุของการชุมนุมว่ามาจากการที่กลุ่มอนุรักษนิยมไม่ยอมรับในผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนนำการจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีความพยายามล้มรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนด้วยวิธีต่างๆ ต่อมา มีการวินิจฉัยให้ นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนถัดไปถูกขัดขวางไม่ให้เข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภา สถานที่ราชการและสนามบินถูกยึด – กระทั่งมีการยุบพรรคพลังประชาชน และตั้งรัฐบาลในค่ายทหารในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551

“หลังจากการเลือกตั้งพ.ศ. 2550 จนถึงการยุบพรรคพลังประชาชนและการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ประชาชนที่สนับสนุนพรรคพลังประชาชนไม่ได้นั่งดูการดำเนินไปอย่างนิ่งดูดาย พวกเขากระตือรือร้นและต้องการปกป้องรัฐบาลที่พวกเขาเลือกมา พวกเขาเลือกสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเคลื่อนไหว พวกเขาชุมนุมและแสดงตนอย่างเปิดเผยและอย่างมีพลัง พวกเขาเข้าร่วมชุมนุมอย่างแข็งขันในนามรายการ ‘ความจริงวันนี้สัญจร’ “

นายธนาธร ระบุว่า ในเดือนมีนาคม 2553 กลุ่มเสื้อแดงชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อที่ถนนราชดำเนิน ด้วยข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบกรณีเขายายเที่ยงและกรณีเขาสอยดาว เรียกร้องให้มีการยุบสภา, เลือกตั้งใหม่อีกครั้งเพื่อให้เสียงประชาชนเป็นผู้ตัดสินทิศทางอนาคตของประเทศ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553

นายธนาธรเล่าว่า ในวันนั้น ตนไม่ได้เป็นผู้ที่มีบทบาททางการเมืองแต่เป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาที่มีความเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง รักความเป็นธรรม และรักประชาธิปไตย เนื่องจากบ้านและที่ทำงานของตนอยู่นอกเมือง ไม่มีโอกาสเข้าเมืองเพื่อร่วมชุมนุมที่ราชดำเนินทุกวัน วันไหนเลิกงานเร็ว ไม่เหนื่อยนักก็จะเข้ามาที่ชุมนุม สังเกตการณ์และให้กำลังใจเพื่อนๆและชาวบ้านที่ชุมนุมอยู่เป็นระยะๆ หากมีอะไรที่พอทำได้ ก็พร้อมหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ที่ชุมนุมอยู่เสมอ แม้จะไม่รู้จักแกนนำบนเวทีเลยก็ตาม

“บ่ายวันนั้น ผมและเพื่อนกลุ่มหนึ่งตระหนักถึงความแหลมคมของสถานการณ์ และหวังว่าพวกเราในฐานะประชาชนธรรมดาจะสามารถทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์เช่นนั้น เราเห็นว่าการแสดงพลัง, การต่อสู้และการยืนหยัดร่วมกันในวันนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เราจึงตัดสินใจเดินทางไปราชดำเนินในช่วงบ่าย

ราชดำเนินร้อนระอุ ไม่ใช่แค่จากไอร้อนแรกของปี แต่จากสถานการณ์อันวุ่นวายบนถนนและจิตใจของผู้ชุมนุม เมื่อเราไปถึงตอนประมาณช่วงบ่ายต้นๆ ทหารได้ล้อมที่ชุมนุมไว้หลายทางแล้ว เสียงเฮลิคอปเตอร์จากด้านบนสร้างความกังวลให้ผู้ชุมนุมเป็นระยะ การปะทะกันระหว่างฝ่ายทหารและผู้ชุมนุมเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ฝ่ายทหารใช้โล่กระบองและแก๊สน้ำตา ส่วนฝ่ายผู้ชุมนุมมีก้อนหิน, ท่อนไม้, ขวดน้ำ และข้าวของอื่นๆที่พอจะหาได้

เนื่องจากไม่มีการสื่อสารจากเวทีใหญ่ จึงทำให้เราไม่รู้สถานการณ์ใดๆ ประกอบกับในวันนั้น เทคโนโลยียังไม่เหมือนวันนี้ ไม่มีการรายงานสดจากประชาชน ณ แนวปะทะต่างๆ ผมและเพื่อนจึงเดินสำรวจจุดต่างๆ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุมตามทรัพยากรที่มี

ควันโขมงจากแก๊สน้ำตาทำให้ตาผมระคายเคือง ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้ชุมนุม มีการหยิบยื่นผ้าชุบน้ำเพื่อป้องกันแก๊สน้ำตาให้แก่กัน ผมรับมาจากชายแปลกหน้าผืนหนึ่ง และยังเก็บไว้ถึงวันนี้

ช่วงบ่ายแก่ๆ การปะทะเงียบลง – อย่างน้อยที่สุดตามความเข้าใจของผมในตอนนั้น – แต่นั่นไม่ได้หมายถึงค่ำคืนจะจบลงที่ตรงนั้น เราพอรู้ว่าความพยายามสลายการชุมนุมของจริงกำลังจะเริ่มขึ้นเมื่ออาทิตย์ลับฟ้า ผมและเพื่อนอีกสามคนรวมตัวกันอยู่ที่สามแยกถนนตะนาวและถนนข้าวสาร เมื่อฟ้ามืดลง ทหารกลุ่มแรกก็เดินเข้ามาทางถนนตะนาว

ผมยังจำความน่ากลัวของค่ำคืนนั้นได้เป็นอย่างดี ผมอยู่ประมาณ 3 เมตรจากคนที่อยู่หน้าสุดของแนวปะทะถนนตะนาว ทหารเอาไม้กระบองเคาะรั้วประตูเหล็กของร้านรวงที่อยู่สองข้างทางระหว่างเดินเข้ามา ส่งเสียงกังวานก้องในถนนแคบๆ ผู้ชุมนุมเองขวัญกำลังใจดีไม่แพ้กัน พวกที่อยู่แนวหน้าไม่มีใครกลัว ตะโกนโหวกเหวกให้กำลังใจกันเป็นระยะๆ เมื่อทหารเดินถึงแนวปะทะก็เกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ดันกันไปดันกันมา ทหารมาพร้อมโล่และไม้กระบอง ผู้ชุมนุมมีธง, ก้อนหิน, มือเปล่า และหมามุ่ย

(มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งท่ามกลางความโกลาหลนี้ เนื่องจากความอัตคัตของผู้ชุมนุม บางกลุ่มจึงเอาหมามุ่ยมาเป็นอาวุธ ผมซึ่งอยู่เกือบแถวหน้าสุด เมื่อคนข้างหลังปาหมามุ่ยไม่แรงพอ ก็ตกใส่หลังผม ทำเอาผมดันไปก็เกาหลังไป และรู้ถึงพิษสงของหมามุ่ยก็วันนั้นเอง)

ผู้ชุมนุมสู้ยิบตาด้วยอุปกรณ์บ้านๆที่พวกเขามี ตรึงแนวทหารที่พยายามรุกผ่าเข้ามาได้ ทหารบางคนที่ล้มลงถูกผู้ชุมนุมกระทืบซ้ำ ผมต้องพยายามไปแยกพวกเขาออก เมื่อยกแรกไม่สำเร็จ ทหารถอยออกไปแนวใหม่ ระยะห่างระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมประมาณจากการคาดคะเนของผมอยู่ที่ 30 เมตร

ในระหว่างที่รอยกถัดไปนี้เอง เพื่อนผมคนหนึ่งเดินออกไปอยู่ด้านหน้าของแนว พร้อมกับโบกธงที่ผมไม่รู้เขาไปเอามาจากไหน ทหารเริ่มยิงกระสุนยางในแนวราบใส่ผู้ชุมนุม ผมเห็นว่าเขาอยู่เลยแถวหน้าถือธง กลางถนน น่าจะเป็นเป้า ท่าจะไม่ดี จึงวิ่งเข้าไปหาเขา จังหวะที่มือซ้ายของผมจับเสื้อของเขาเพื่อดึงเขาออกมานั้น กระสุนยางนัดหนึ่งกระแทกเข้ากับแขนซ้ายของผม ความร้อนและความแรงของมันทำให้ผมทรุดตัวลงกับพื้น ทหารเริ่มเดินเข้ามา ผมปวดแขนลุกไม่ไหว ผู้ชุมนุมยกผมขึ้นท้ายรถกระบะคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ที่ถนนข้าวสาร (ซึ่งกลายเป็นภาพซึ่งกระจายอยู่แพร่หลาย)

รถกระบะคันนั้นพยายามถอยออกไปถนนราชดำเนิน แต่ติดผู้ชุมนุมทำให้รถถอยไปไม่ได้ ความโกลาหลเกิดขึ้นรอบรถ แนวที่ผู้ชุมนุมตรึงไว้เสียไปเพราะกระสุนยาง ทหารรุกกินพื้นที่เข้ามาเกือบจะถึงถนนราชดำเนิน รอบๆรถผมได้ยินเสียงคนวิ่งหนีตะโกนโหวกเหวก เสียงปะทะกัน เสียงประชาชนถูกทหารตี ถ้าจำไม่ผิดกระจกรถถูกตีแตกด้วย แรงผมยังพอมีอยู่แม้จะเจ็บแขน แต่สติคิดไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จะให้กระโดดลงจากหลังรถไปตะลุมบอนกับเขาด้วยก็กะไรอยู่ ผมคิดในใจ “กูโดนแน่คืนนี้”

คนขับรถมีสติพอ เมื่อถอยหลังไม่ได้ จึงบึ่งรถเลี้ยวซ้ายที่ถนนข้าวสาร แล้วขับออกจากแนวปะทะ เมื่อออกจากความวุ่นวาย เขานำผมมาส่งที่หน่วยพยาบาลซึ่งอยู่รอบนอกของที่ชุมนุม แขนซ้ายผมบวมตุ่ยและกลายเป็นสีม่วง มีรอยไหม้ผิวหนังกลมๆอยู่ตรงจุดกระแทก เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผม และบอกให้ผมไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจว่ากระดูกมีผลกระทบหรือไม่

ผมออกจากหน่วยพยาบาลคนเดียว โชคยังดีวันนั้นมีเงินสดติดตัวอยู่บ้างจึงจับแท็กซี่กลับไปที่ชุมนุม เมื่อกลับไปถึง เพื่อนๆของผมเข้ามาหลบอันตรายอยู่ที่บันไดที่นั่งของอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ผมจึงไปนั่งกับพวกเขาและผู้ชุมนุมอีกประมาณหนึ่ง สี่แยกคอกวัวเวลานั้นกลายเป็นเหมือนสมรภูมิสงคราม เมื่อผมกลับไปถึงทหารใช้กระสุนจริงแล้ว เสียงปืนและเสียงระเบิดดังลั่นกลางมหานคร

พวกเราเป็นปัญญาชนเกินไป ไม่มีใครกล้าไปที่สี่แยกคอกวัวหลังจากที่มีการใช้กระสุนจริง พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ได้แต่นั่งกันเงียบๆจนเสียงปืนสงบลงประมาณสามทุ่ม

ผมเดินกลับไปที่แนวปะทะอีกครั้ง ผมเห็นกองเลือดสดๆของผู้เสียชีวิตอยู่บนถนนเป็นหย่อมๆ บางกองมีเนื้อหรือมีเศษสมองปนอยู่ด้วย วันที่ 10 เมษา ปีนั้นจบลงด้วยผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 27 คน เป็นทหาร 5 คน และเป็นพลเรือน 22 คน ในจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิต 22 คนนั้น มีอยู่ 9 คนที่เสียชีวิตที่ถนนตะนาว-สี่แยกคอกวัวที่ผมอยู่ กองเลือดที่ผมเห็นเป็นของคนทั้ง 9 คนที่น่าจะเสียชีวิตหลังจากที่ผมถูกนำขึ้นรถกระบะออกนอกที่เกิดเหตุไม่นาน หากผมไม่โดนกระสุนยางเสียก่อน ผมอาจเป็นหนึ่งในนั้น”

ในตอนท้าย นายธนาธรระบุว่า
หลังจากนั้น 10 เมษาเวียนมาทีใด ผมอดคิดถึงรอยแผลที่แขนข้างซ้ายไม่ได้ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 รวมกัน 94 รายและผู้บาดเจ็บอีก 1,400

“รอยแผลที่แขนข้างซ้าย ปัจจุบันจางหายไปจนแทบมองไม่เห็น วันนี้ผมรู้สึกถึงมันอีกครั้ง พร้อมกับความเชื่อมั่นที่ไม่เคยคลอนแคลนว่าประวัติศาสตร์ของวันที่ 10 เมษายน 2553 จะต้องถูกชำระในสักวัน”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0