ไส้กรอก (Sausage) มาจากคำภาษาลาตินว่า Salsus หมายถึง “การเก็บรักษาเนื้อสัตว์โดยใช้เกลือ” หรือมาจากคำว่า Wurst ในภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึง “เนื้อสัตว์บดละเอียดผสมกับเกลือและเครื่องเทศ บรรจุลงในไส้” ดังนั้นกรรมวิธีในการผลิตไส้กรอกนั้นจึงถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีในการถนอมอาหารแบบหนึ่ง ที่คิดค้นมากว่า 3,500 ปีแล้ว ในยุคบาบิโลเนีย ลักษณะเป็นเนื้อหมักเครื่องเทศ ยัดไว้ในไส้สัตว์ ในยุคกลาง เมืองต่าง ๆ ในยุโรปได้พัฒนาสูตร รสชาติ และรูปร่างของไส้กรอกของตนเอง และตั้งชื่อไส้กรอกตามชื่อเมืองที่เป็นถิ่นกำเนิด เช่น ไส้กรอกเวียนนา เป็นต้น
ในยุคปัจจุบันการผลิตไส้กรอกเป็นการประยุกต์ใช้กระบวนการถนอมอาหารหลายอย่างรวมกัน เช่น การใช้สารเคมี การใช้ความร้อน การอบแห้ง การแช่แข็ง และการแช่เย็น จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในปัจจุบันนั้นมาให้เลือกบริโภคอย่างหลากหลาย ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ชนิดของเครื่องเทศและเครื่องปรุงรส ชนิดของเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อปลา เป็นต้น อัตราส่วนระหว่างเนื้อสัตว์และไขมันของเนื้อสัตว์ ความละเอียดของการบดเนื้อสัตว์และเครื่องเทศ วิธีการผสม ขั้นตอนการผลิต วิธีการอัดไส้ ขนาดและความยาวของไส้ที่นำมาใช้ และ ชนิดของไส้ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.ไส้ธรรมชาติ เช่น ไส้แกะ ไส้หมู หรือหลอดลมวัว
2.ไส้สังเคราะห์หรือไส้เทียม เช่น ไส้จากคอลลาเจน ไส้สังเคราะห์จากใยฝ้าย หรือไส้พลาสติกที่สามารถรับประทานได้
แม้จะเป็นอาหารที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด แต่ไส้กรอกของประเทศเองก็รายละเอียดอื่นๆ ที่แตกต่างกันไป เช่นในแถบเมดิเตอเรเนียนจะมีลักษณะแข็งและแห้งเพื่อไม่ให้ไส้กรอกบูดเสียได้ง่ายในอากาศร้อนแถบนั้น ส่วนไส้กรอกของสก็อตแลนด์นิยมยัดไส้ด้วยข้าวโอ๊ต มากกว่าจะใช้เนื้อหมูหรือเนื้อวัว ไส้กรอกที่เป็นที่นิยมกันมากที่สุดประเภทหนึ่งในเยอรมนี คิดค้นขึ้นโดยชาวเมืองแฟรงเฟิร์ต จึงมีชื่อเรียกว่าแฟรงเฟอเตอร์ เป็นไส้กรอกที่มีขนาดหนานุ่ม ใส่เครื่องเทศและรมควันอย่างดีมีรูปร่างโค้งเล็กน้อย คล้ายรูปร่างของสุนัขดัชชุน จนบางคนเรียกไส้กรอกประเภทนี้ว่า ไส้กรอกดัชชุน เล่ากันว่าผู้คิดไส้กรอกประเภทนี้เลี้ยงสุนัขดัชชุนไว้หนึ่งตัว จึงเกิดความคิคว่าไส้กรอกที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขตัวโปรดนี้จะเป็นที่นิยมของตลาดด้วย
ถึงจะเป็นอาหารจานอร่อยของใครหลายๆ คน และเราก็มักเห็นอาหารเหล่านี้อยู่ในบาร์อาหารเช้าแบบอเมริกันอยู่บ่อยๆ แต่อย่างที่หลายคนทราบกันดี ว่าเอาเข้าจริงอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางอาหารไม่มากเท่าเนื้อสัตว์ปกติทั่วไป และยังมีสารปรุงแต่งที่เป็นที่ไม่ค่อยดีต่อร่างกายสักเท่าไหร่ ดังนั้นหากนานๆ จะรับประทานสักครั้งก็ไม่เป็นอะไร แต่หากทานอย่างเดิมบ่อยๆ แล้วไม่มีอาหารอื่นอย่างผัก ผลไม้ นม เนื้อสัตว์จริงๆ ควบคู่ไปด้วย ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือขากสารอาหารได้เช่นกัน