โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

'ไวรัสโคโรนา' กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งสัปดาห์

TNN ช่อง16

อัพเดต 28 ม.ค. 2563 เวลา 06.28 น. • เผยแพร่ 28 ม.ค. 2563 เวลา 06.28 น. • TNN Thailand
'ไวรัสโคโรนา' กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งสัปดาห์
นักลงทุนกังวลไวรัสไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กดดันตลาดหุ้นส่วนใหญ่ให้ปรับตัวลดลง ขณะที่ สัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันต่อเนื่อง

วันนี้ ( 28 ม.ค. 63)  ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า  ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (20 – 24 ม.ค.) ตลาดหุ้นโลกปรับลดลง นำโดยตลาดหุ้นจีน ที่ร่วงลงมากกว่า 3% เนื่องจาก ความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่สามารถติดเชื้อจากคนสู่คนได้ ทำให้การแพร่ระบาดของโรคกระจายตัววงกว้างมากขึ้น โดยนักลงทุนกังวลว่า  การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่อาจมีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีน เนื่องจาก ชาวจีนจำนวนมากจะเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในจีน และในต่างประเทศ ในช่วงเทศกาลวันหยุดดังกล่าว ส่งผลให้หุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม ท่องเที่ยว ค้าปลีก ปรับลดลงนำตลาดฯ ขณะที่ ราคาน้ำมัน ปรับลดลงมากกว่า 7% เนื่องจาก ความกังวลการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกเช่นกัน ด้านราคาทองคำ ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจาก นักลงทุนเข้าลงทุนในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัส

สำหรับ ในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่สามารถติดเชื้อจากคนสู่คนได้  ทำให้การแพร่ระบาดของโรคกระจายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น  โดยล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศการระบาดของโคโรน่าไวรัสถือเป็นเรื่องฉุกเฉินสำหรับประเทศจีน ขณะที่ทางการจีนได้ประกาศขยายเวลาวันหยุดเนื่องในเทศกาลตรุษจีนออกไป จากเดิมเริ่มต้นวันที่ 24 ม.ค.และสิ้นสุดวันที่ 30 ม.ค. เป็นสิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ. โดยการตัดสินใจดังกล่าว เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส 

ดังนั้น จึงคาดว่า ในระยะสั้นความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ จะส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มปรับลดลง และสินทรัพย์ปลอดภัยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ด้านราคาน้ำมัน มีแนวโน้มปรับลดลงจากความกังวลว่าการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง ขณะที่นักลงทุนรอติดตามการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดเบียนใน 4Q2019 รวมถึงผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้

โดยยังต้องติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ หลังทางการจีนได้ประกาศขยายเวลาวันหยุดเนื่องในเทศกาลตรุษจีนออกไปโดยไม่มีกำหนด และมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่เร็วกว่าช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของวิกฤตโรค SARS ในปี 2003   รวมถึง ผลการประชุม Fed (28-29 ม.ค.) คาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม ที่ระดับ 1.5-1.75% และ Fed มีแนวโน้มส่งสัญญาณผ่อนคลายสภาพคล่องในตลาดเงินต่อ โดย Fed จะยังคงเข้าซื้อตั๋วเงินคลังราว 60 พันล้าน ดอลลาร์ สหรัฐฯ ต่อเดือนจนถึงสิ้นไตรมาส  2 ปี 2020 และอาจขยายระยะเวลาการดำเนินธุรกรรมในตลาดซื้อคืนพันธบัตร จากที่จะสิ้นสุดในเดือน ม.ค.นี้

ผลการประชุม BoE (30 ม.ค.) คาดว่า BoE มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.75% หลังดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตในช่วงเดือน พ.ย.-ม.ค.ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของ BoE น่าจะเป็นไปในเชิงการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น หลังกรรมการ BoE หลายท่านออกมาสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ย   และการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) อย่างเป็นทางการ  โดยคาดว่า อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้ทันเส้นตายในวันที่ 31 ม.ค. นี้

รวมไปถึง  ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ปี 2019 โดยสัปดาห์นี้จะเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 38% ของมูลค่าตลาด ขณะที่บริษัทจดทะเบียนยุโรป จะรายงานผลประกอบการ คิดเป็นสัดส่วน 19% ของมูลค่าตลาด    

เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com 
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0