โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

ไรวินทร์ อิทธิพิชิตพงษ์ จากมิสลาวสู่เจ้าของแบรนด์จิวเวลรีไทย

Manager Online

เผยแพร่ 17 ก.พ. 2563 เวลา 16.29 น. • MGR Online

ถึงจะไม่ได้เรียนมาสายตรง แต่ด้วยใจรักด้านจิวเวลรีเป็นทุนเดิม เมื่อมีโอกาส “มีมี่-ไรวินทร์ อิทธิพิชิตพงษ์” จึงไม่รีรอ ลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์เครื่องประดับของตัวเอง ที่มีชื่อนำโชคว่า “Mimiluckygems”งานนี้เธอทุ่มทุนสร้างสุดตัว ทั้งออกแบบและบริหารเองกับมือ หลังจากก่อนหน้านี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฐานะผู้ที่รับจ้างผลิตเครื่องประดับ ตามโจทย์ของแบรนด์ต่างๆ จนเมื่อปีที่แล้วตัดสินใจสร้างแบรนด์ เปิดหน้าร้านออนไลน์ของตัวเอง ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า “อยากออกแบบตามใจบ้าง”“ปกติถ้าเป็นงานลูกค้าเราก็ต้องออกแบบตามโจทย์ จะหวือหวาตามใจหรือสไตล์เราไม่ได้ เพราะถ้าเป็นสไตล์เราต้องเน้นชิ้นใหญ่ๆ ดีไซน์แปลกๆ จนหลายคนอาจจะมองว่าดูแรง ไม่กล้าใส่ แต่เราชอบ เพราะรู้สึกว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นมีเอกลักษณ์ เป็น One of a kind มีแค่ชิ้นเดียวในโลก หรือจะเรียกว่าเป็นมาสเตอร์พีซก็ได้

ส่วนที่บางคนอาจจะมองว่าเวลาใส่เครื่องประดับ อย่าง เพชรแล้วดูเป็นผู้ใหญ่ แต่มี่มองต่าง ถ้าเรารู้จักนำมามิกซ์แอนด์แมตช์ก็สามารถใส่ได้ทุกวัน ไม่ยากเลย” มีมี่เรียกน้ำย่อยถึงที่มาของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากเสียงหัวใจเรียกร้องหนักขึ้นเรื่อยๆ บวกกับแรงยุจากเพื่อนๆ “เราไม่ได้จบสายตรงด้านดีไซน์หรือจิวเวลรีก็จริง แต่มีแพสชั่นทางนี้มานานอย่างที่บอก เคยไปเทกคอร์สสั้นๆ เลยพอออกแบบได้อยู่แล้ว ส่วนที่เหลือก็อาศัยความรู้ด้านบริหารที่เรียนมาใช้เต็มๆ ดูแลเองได้ตั้งแต่ คัดเพชร คุยกับช่าง ดีไซน์ ทำการตลาด โปรโมตแบรนด์ ซึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจเปิดตลาดในไทยก่อน เพราะเห็นโอกาสทางธุรกิจ หลังจากไปๆ มาๆ ไทย-ลาวได้ 10 ปีแล้ว เห็นศักยภาพว่าตลาดไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ แถมมีหลากหลายกลุ่ม”

นอกจากจะยิ้มร่ารับความสุขที่ได้โลดแล่นในธุรกิจที่รักแบบไม่ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว เห็นหน้าตาเก๋ๆ ชวนมองแบบนี้ หลายคนคงนึกไม่ถึง ถ้าเจ้าตัวไม่เฉลยว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเธอเคยเป็นสาวงามผู้ครองตำแหน่งมิสลาวมาก่อน“ตอนนั้นอายุ 18 ปี” มีมี่เล่าไปเขินไป “เพื่อนชวนไปประกวดแบบงงๆ ด้วยความที่เพื่อนมี่เป็นเจ้าของเบียร์ลาว ซึ่งปีนั้นเขาเป็นสปอนเซอร์หลักของเวทีนี้พอดี เลยใส่ชื่อเราเป็นผู้สมัครด้วย โดยไม่ได้บอกเราก่อนด้วยนะ มารู้อีกทีคือ ใกล้ๆ ถึงวันคัดเลือก เขาก็ให้มา บอกให้ใส่ผ้าถุงมา ตอนแรกเราก็ลังเล แต่เขาก็บอกว่ามาเหอะ ไม่ได้หรอก เราก็ไป ปรากฏไปๆ มาๆ ก็ผ่านเข้ารอบไปเรื่อยๆ จาก 50 คน เหลือ 25 คน และ 17 คน จนได้ตำแหน่ง”

สิ่งที่มีคุณค่ามากจากการประกวดครั้งนั้น นอกจากตำแหน่งที่ได้รับ สำหรับมีมี่ยังมองว่าเป็นประตูบานสำคัญ ที่ทำให้เธอค้นพบความสุขจากการให้อย่างคาดไม่ถึง “ช่วงที่เก็บตัวนางงาม เขาจะให้ผู้เข้าประกวดไปทำกิจกรรมตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คนตาบอด ตอนไปครั้งแรกร้องไห้เลย รู้สึกว่าเด็กๆ พวกนี้น่าสงสารมาก บางคนไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร บางคนถูกเอามาทิ้งตั้งแต่เด็กๆ 3 เดือน บางคนพ่อแม่ติดเอดส์ เด็กๆ พวกนี้ขาดโอกาสในชีวิตหลายอย่าง ทั้งการศึกษา อาหารการกิน ฯลฯ การที่มาเจอเด็กๆ ทำให้เราย้อนกลับมามองตัวเราเหมือนกันนะว่า เราโชคดีแค่ไหน ขณะที่ บางครั้งเรากินทิ้งกินขว้าง แต่สำหรับคนที่ขาด แค่เค้กชิ้นเล็กๆ ก็ทำให้เขาก็ดีใจมาก ทุกครั้งที่คิดแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกรักตัวเองมากขึ้น และหันมาทำดีด้วยการช่วยเหลือเด็กกำพร้าทุกครั้งที่มีโอกาส เริ่มเปลี่ยนความคิด จากแต่ก่อนคิดแต่ว่าต้องทำบุญกับพระ จริงๆ เราก็ยังสามารถทำบุญด้วยวิธีอื่นๆ ดังนั้น ตอนที่ได้ตำแหน่ง เลยนำเงินรางวัลที่ได้ส่วนหนึ่งไปบริจาคด้วย หลังจากนั้นมาก็ยังหาโอกาสไปช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสอยู่เสมอ หรืออย่างน้อยต้องปีละ 2 ครั้ง”

ในอนาคต มีมี่ยังวาดความหวังไว้ว่า ถ้ามีโอกาสอยากทำโปรเจกต์เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าจริงจัง และถ้าเป็นไปได้อยากทำมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็ก “ฝันนี้มี่ว่าไม่ไกล อย่างน้อยเพื่อนในกลุ่มเราก็มาสายบุญอยู่แล้ว อย่าง มุ่ย (สลิลาพร กองทองมณีโรจน์) ก็ช่วยเหลือเด็กบนดอยที่ด้อยโอกาส ส่วน พี่แบงค์ (กัลยรัตน์ อัครเดชเดชาชัย) ก็ร่วมบริจาคช่วยเหลือเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ทุกปีอยู่แล้ว”วาดฝันถึงสิ่งที่อยากทำไปแล้ว มาถึงเป้าหมายชีวิตที่วางไว้กันบ้าง คำถามนี้มีมี่ตอบชัดเลยว่า หลังจากเพิ่งเปิดหน้าร้านออนไลน์ไป ตอนนี้ก็มีแผนจะเปิดหน้าร้านด้วย แต่ยังไม่ลงตัวว่าจะเป็นที่ไหน แต่หลักๆ ตั้งเป้าว่าจะบุกตลาดไทยก่อน ส่วนที่ลาวตอนนี้ไม่ได้มีหน้าร้านออนไลน์ และยังมีแผนจะเปิดหน้าร้าน เพราะยังรอจังหวะที่เหมาะสม เพราะเดินทางไปๆ มาๆ ไทยกับลาวตลอดอยู่แล้ว “นึกย้อนไป มี่ก็ไปๆ มาๆ ที่ไทยเป็น 10 ปี ก็เริ่มชินแล้วนะ มี่ชอบเมืองไทยมาก เพราะเมืองไทยมีสิ่งอำนวยความสะดวก สมกับเป็นเมืองหลวงทุกอย่าง ช่วงที่อยู่ไทยมี่ก็ทำงานเต็มที่ คือจริงๆ เราจะทำแบรนด์แบบชิลๆ ก็ได้ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนเป๊ะ ชอบเช็ครายละเอียดทุกอย่างด้วยตัวเอง ถึงจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แต่ก็มีงานเข้าทั้งวัน ส่วนใหญ่ก็นั่งทำงานที่บ้าน เพราะถ้าออกมาข้างนอก นัดเจอเพื่อนจะไม่ได้ทำงาน (หัวเราะ) เลยต้องรอเวลาเลิกงาน สัก 6 โมงเย็นเป็นต้นไปค่อยนัดเจอ กินข้าว พูดคุยกันแลกเปลี่ยนความคิด อัปเดตว่าวันนี้แต่ละคนไปทำอะไร หรือเจอปัญหาอะไรมาบ้าง”

ไหนๆ ก็แย้มมาถึงปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่หนีไม่พ้น เลยถือโอกาสนี้ถามถึงวิธีรับมือของมีมี่ ซึ่งเธอมีเคล็ดลับสั้นๆ ง่ายๆ คือ ตั้งสติ“เห็นลุคแบบนี้ แต่เราเป็นสายเข้าวัดกรรมฐาน วิปัสสนา เคยมีช่วงที่รู้สึกหนักมากในชีวิต เมื่อ 4-5 ปีก่อนก็เข้าไปศูนย์วิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุอยู่ 12 วัน ปิดวาจา ไม่รับโทรศัพท์เลย เราชอบนะ เหมือนได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่มีอะไรมากวนใจ แต่ช่วงที่ทำใหม่ๆ 3 วันแรกจะแย่หน่อย เหมือนมีมารผจญ แต่พอสักพักก็ลงตัว ทุกวันนี้ถ้ามีช่วงที่เคลียร์งานลงตัวก็จะไป อย่างเมื่อ 6 เดือนที่แล้วไปมาอยู่มา 14 วัน แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก 7 วัน ออกมาพัก 3 วัน เพราะมีงานต้องเคลียร์ หลังจากนั้นก็เข้าไปอีก 7 วัน”

ดูแลสุขภาพใจมาแล้ว มาถึงสุขภาพกายกันบ้าง “เป็นคนรักสวยรักงามตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ เน้นดื่มน้ำเยอะ วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2 ลิตร ตื่นมากินน้ำแล้ว 500 ml. 2 ขวด เหมือนปลุกร่างกายให้ตื่น อยากเข้าห้องน้ำ ระหว่างวันก็จะมีน้ำติดตัวไปด้วย นอกจากนี้ ก็ทั่วไป เน้นกินผลไม้เยอะ พักผ่อน วันไหนนอนดึก ตอนเช้า เพลีย เหนื่อย ที่ขาดไม่ได้คือ สกินแคร์ เพราะเป็นคนทาครีมเยอะมาก จนเพื่อนแซวว่า ต้องให้เวลาเช้า 15 นาที เย็น 15 นาที ใครไปเมืองนอก ไม่ต้องขนไปเลย เพราะเราจัดเต็มมาก ไม่งั้นจะหงุดหงิด มีปัญหาถ้าเครื่องเคียงไม่ครบ เฉพาะ เซรัม 3 ตัว ครีมทารอบดวงตา 3 ตัว บางวัน 2 ตัว ถ้าให้นับตอนเช้าจะทาครีมประมาณ 8 ตัว ส่วนตอนกลางคืนประมาณ 9-10 ตัว มี่เริ่มดูแลตัวเองมาตั้งแต่ 17 ค่อยๆ เพิ่มดีกรีความเยอะขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นวันไหนกลับดึกขี้เกียจจริงๆ ก็จะรวบรัดเหลือแค่มาส์กหน้า”ส่วนวันว่าง มีมี่ไม่ละเลยการดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ “แต่ก่อนออกหนักมาก เล่นพีราทิส จนหุ่นเป๊ะไม่แพ้เทรนเนอร์ แต่ปรากฏเล่นไปเล่นมาเริ่มบาดเจ็บ เล่นแล้วเจ็บสะบัก จนต้องไปรักษา แล้วหมอสั่งให้หยุดออกกำลังกายหนัก 1 ปี เลยต้องหันมาเปลี่ยนวิธีออกกำลังกาย เหลือออกกำลังกายวันเว้นวัน เน้นเดินบนลู่ เล่นโยคะบ้างแต่ไม่เน้นท่ายาก”นอกจากออกกำลังกาย อีกหนึ่งความสุขที่ขาดไม่ได้ของมีมี่คือ การตระเวนชิมของอร่อยกับก๊วนเพื่อนสนิท “ร้านเปิดใหม่ ร้านอร่อย ต้องไม่พลาด ส่วนใหญ่ในกลุ่มเราก็ผลัดๆ กันเลือก ไม่ได้เกี่ยงว่าร้านต้องแพงเสมอไป” มีมี่ทิ้งท้าย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0