โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ไปอินโด..ตามล่าลมหายใจของโลกที่ Bromo - ชม Blue Flame ที่ Ijen - นอนชิล ที่ Bali : 5 วัน กับงบ 17,000 บาท

JS100 - Post&Share

เผยแพร่ 19 ต.ค. 2561 เวลา 14.00 น. • JS100:จส.100
ไปอินโด..ตามล่าลมหายใจของโลกที่ Bromo - ชม Blue Flame ที่ Ijen - นอนชิล ที่ Bali : 5 วัน กับงบ 17,000 บาท
ไปอินโด..ตามล่าลมหายใจของโลกที่ Bromo - ชม Blue Flame ที่ Ijen - นอนชิล ที่ Bali : 5 วัน กับงบ 17,000 บาท

     อินโดนีเซีย 1 ใน 10 ประเทศที่มีภูเขาไฟมากที่สุดในโลก ประเทศนี้มีหลายอย่างให้เราไปค้นหา โดยเฉพาะความสวยงามของธรรมชาติ และภูเขาไฟ ในทริปนี้เราเลยเลือกที่จะไป Bromo - Kawah Ijen และไปพักผ่อนชิลๆ ดูสถาปัตยกรรม ที่ Bali ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมากกับการไปชมภูเขาไฟที่สวยและอยู่ใกล้ไทยที่สุด ที่เดินทางไปพบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติได้อย่างไม่ยาก ก็เลยเลือกที่นี่กันครับ      **บอกก่อนเลยครับว่า ใครที่อยากจะไปลุยตามทริปนี้ ขอให้เตรียมความพร้อมของร่างกายมาก่อนนะครับ เพราะเส้นทางการเดินขึ้นเขาถือว่าโหดพอสมควร! โดยเฉพาะ Kawah Ijen ทริปนี้เราเดินตั้งแต่คืนวันที่ 4 - 8 ตุลาคม 2561 : มีเพื่อนรวมเดินทางไปทั้งหมด 6 คน - คืนที่ 1 ที่ Bromo - คืนที่ 2 ที่ Kawah Ijen - คืนที่ 3 ที่ Ubud Bali - คืนที่ 4 ที่ Kuta Beach Bali

สิ่งที่ควรเตรียมไปในการเดินทาง 1. เสื้อกันหนาว เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว (บน Bromo - Kawah Ijen อากาศหนาวมากประมาณ 10-15 องศา) 2. รองเท้าผ้าใบแบบลุยๆ แนะนำแบบเลอะได้ เปื้อนได้ ไม่กลัวเสียดาย เพราะลุยหนักมาก 3. ผ้าปิดจมูก หรือแมสกันฝุ่น (หน้ากากกันกลิ่นแก๊สกำมะถัน ที่Kawah Ijen ไกด์ที่พาไปมีให้) 4. ไฟฉาย (ส่องทางเดินขึ้น Bromo - Kawah Ijen) 5. ยาดม ยาหม่อง ยาแก้เมารถ (ทางโค้งเยอะมาก) 6. รองเท้าแตะ เสื้อกันฝน (ใช้ที่น้ำตก Madakaripura) 7. และที่ขาดไม่ได้ SIM2Fly เล่นเน็ตเต็มสปีด 4GB จาก AIS -Day 1-      หลังจากเดินทางมาถึงมาเลเซียเพื่อรอต่อเครื่องไปลงที่สุราบายา (จากไทยไม่มีบินตรงครับ) - เริ่มออกเดินทาง 12.05 ถึงสนามบินฆูอันดา สุราบายา เวลา 13.55น.

     พอไปถึงก็มี local guide ที่ติดต่อไว้ก่อนหน้านี้ มายืนถือป้ายรอรับที่สนามบินพาไปตามที่ต่างๆ ที่ดีลกันไว้ โดยจะรวมค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าเข้าน้ำตก และค่าไกด์ ตลอด 3วัน 2คืน ที่Bromo - Kawah Ijen ทั้งหมดตกคนละประมาณ 2,000,000 รูเปีย หรือประมาณ 5,000 บาทต่อคนครับ *ไม่รวมค่าอาหารในบางมื้อ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจ่ายเอง

     ในวันแรก ใช้เวลานั่งรถจากสนามบินมาถึงที่พักบน Bromo ประมาณ 4 ชม. เส้นทางโดยรวมถือว่าไม่ได้เลวร้ายนัก แต่มีโค้งเยอะ ใครที่เมารถแนะนำกินยาเตรียมไว้ก่อนเลยครับ

     พอถึงโรงแรมก็นอนพักผ่อน เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปยัง Bromo ในช่วงเช้ามืดเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว

-DAY2-      รถ jeep มารับที่หน้าโรงแรมในเวลา 03.00น. เดินทางต่อไปไม่นานก็จะถึงจุดชมวิวเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Penanjakan

     อากาศบนนั้นประมาณ 15 องศา ลมพลัดแรงมากหนาวสุดๆ ระหว่างนี้ก็หาจุดเจ๋งๆตั้งกล้องรอไว้ได้เลยครับ แนะนำให้เดินเข้าไปลึกๆ ยังมีอีกหลายจุดให้รอชมพระอาทิตย์ขึ้นได้

     และแล้วสิ่งที่เรารอคอยก็มาถึง..เห็นเป็นทะเลหมอกตัดกับยอดภูเขาไฟที่โผล่พ้นขึ้นมาพร้อมกับมีควันปะทุพ่นขึ้นมา เป็นแบคกราวด์ สวยสุดๆ ไปเลยครับ

     หลังจากถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ก็ลงจากจุดชมวิวเดินทางกันไปต่อที่จุดไฮไลท์ของทริปนี้ ก็คือ ภูเขาไฟ Bromo โดยรถ jeep คันแดงของเรา เข้าไปจอดช่วงเชิงเขาให้เราได้ถ่ายรูป ก่อนขับไปจอดยังอีกจุดให้เราเดินเท้ากันขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟ

     ใช้เวลาเดินไป-กลับ ชมวิว ถ่ายรูปชิลๆ ไปเรื่อยๆ โดยประมาณ 2 ชั่วโมง หรือถ้าใครขี้เกียจเดิน ก็ขี่ม้าขึ้นไปได้ครับ ค่าเสียหายคนละ 150,000 รูเปีย

     เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว…จะเข้าใจเลยครับว่าทำไมคนถึงเรียกที่นี่ว่า “Breath of God” ลมหายใจของพระเจ้า ดูแล้วมันทรงพลัง เสียงคำรามพ่นควันของภูเขาไฟ Bromo มันยิ่งใหญ่มากจริงๆครับ

     ถ้าใครใจกล้าหน่อย ไม่กลัวความสูง ก็สามารถเดินเลาะไปตามสันเขาได้ครับ แต่โดยส่วนตัวไม่กล้าเดินไปไกลกว่านี้แล้วครับ ขาสั่น!!

     หลังจากดื่มด่ำจนเต็มที่ ก็ได้เวลาเดินลงกันแล้ว นั่งรถกลับไปโรงแรม อาบน้ำ กินข้าว ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปชมความงามของน้ำตก Madakaripura Waterfall กันต่อ 

     สิ่งที่ต้องเตรียมไปน้ำตกคือรองเท้าแตะ กับเสื้อกันฝน ของมีค่าโทรศัพท์ก็ใส่กระเป๋ากันน้ำไว้ เพราะเราต้องเดินผ่านม่านน้ำตกยังไงก็เปียกแน่นอนครับ

     จะมีไกค์ท้องถิ่นพาเราเดินเข้าไปจากทางเข้าไปยังน้ำตก ประมาณ 20 นาที ปีนปลายหินกันเล็กน้อย ก็จะถึงจุดที่สวยที่สุด แหล่งกำเนิดของน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผา ความสูงไม่ต่ำกว่า 200 เมตร กระทบกับผิวน้ำด้านล่าง มีละอองน้ำเย็นๆ กระเซ็นขึ้นมา บวกกับความเขียวขจีของธรรมชาติรอบข้าง สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ราชินีแห่งสายน้ำชวาตะวันออก'

     หลังจากออกจากน้ำตก เราก็นั่งรถเดินทางต่อประมาณ 4 ชั่วโมง ไปถึงที่โรงแรมแถวๆ Kawah Ijen เพื่อพักผ่อน และรอเดินทางไป Kawah Ijen กันในคืนนั้นเลยครับ -DAY3-      กว่าจะเดินทางถึงโรงแรมก็ 1 ทุ่มแล้ว แนะนำให้รีบกินข้าว อาบน้ำ และพักผ่อนนะครับ เพราะมีเวลาถึงแค่ 5 ทุ่มเท่านั้น!!  รถจะมารับเพื่อเดินทางไปยังทางขึ้น Kawah Ijen และเริ่มเดินขึ้นเขาประมาณตี2

     และแล้วความทรหดที่สุดของทริปนี้ก็เริ่มต้นขึ้น!

     ก่อนที่จะเดินขึ้นไป สิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดก็คือ หน้ากากป้องกันกำมะถัน(เพราะกลิ่นกำมะถันข้างบนแรงมาก) ส่วนใหญ่ไกด์ที่พาเราไปจะมีให้ยืม หรือใครจะเอาไปเองก็ได้ครับตามสะดวก แล้วก็ควรมีไฟฉายไว้ส่องทางด้วยครับ เพราะทางที่เดินขึ้นไปมืดมากๆ

     สภาพอากาศในตอนนั้น อุณหภูมิประมาน 14 องศา คือหนาวและลมแรงมาก ไกค์ท้องถิ่นก็นำทางเราเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ถ้าเหนื่อยก็ขอนั่งพัก ทางเดินก็จะมีทั้งทางชัน บางจุดค่อนข้างลื่น เพราะต้องลัดเลาะปีนปลายลงไปตามสันเขาครับ

     ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 2-3 ชม. เราก็ถึงจุดไฮไลท์สำคัญนั่นก็คือ Blue Frame !!! ได้เห็นการพวยพุ่งและลุกไหม้ด้วยตาตัวเอง สวยงามยิ่งใหญ่ตระการตาสุดๆ แม้กลิ่นกำมะถันจะฉุนแสบจมูกก็ตาม ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องมาให้ได้ครับ

     หลังจากนั้นเราก็เดินไต่เขากลับขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นด้านบนทะเลสาบ Blue Lake 

     ใครที่คิดว่าเดินขึ้นมาว่าเหนื่อยแล้ว เดินกลับลงมาก็ไม่แพ้กันเลย เพราะทางค่อนข้างชัน แข้งขาเริ่มหมดแรง เดินไม่ดีอาจสไลด์ลงไปกองกับพื้นได้ครับ

     จริงๆทั้งทางขึ้น-ลง จะมีรถเข็นไว้บริการด้วยครับ แต่ไม่แนะนำเพราะราคาแพงมากๆ ไหนๆก็ไปถึงแล้วต้องลุยด้วยตัวเอง เหนื่อยก็พักได้ครับ ไม่ต้องรีบเดินให้ถึงไวๆ

     มาถึงข้างล่าง ก็ได้พักกินข้าวเช้าเติมพลังที่หมดไปตลอดคืนที่ผ่านมา ก่อนออกเดินทางกันต่อไปยังท่าเรือ Ketapang เพื่อข้ามไปยังเกาะบาหลี และต่อรถไปนอนที่เมือง Ubud ครับ  -DAY4-      เมือง Ubud เป็นเหมือนศูนย์กลางของศิลปะวัฒนธรรมของเกาะบาหลี อยู่ทางตอนกลางของบาหลี ไม่ติดทะเล จึงไม่แปลกใจที่สองข้างทางจะเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาหลี

     การเดินทางในบาหลี เราเลือกเช่ารถขับเองครับ (ใบขับขี่ไทยสามารถใช้ขับได้เลยครับ ไม่ต้องไปทำใบขับขี่สากล) ถนนหนทางส่วนใหญ่ก็ดีครับ ไม่ได้ขับยากอะไรมาก ราคาเช่าก็ไม่ได้แพงมากครับ ไปหลายคนหารกันยิ่งถูกเข้าไปอีก

     เช้าวันแรกที่บาหลี ตื่นแต่เช้าเริ่มต้นเดินทางกันไปที่ Ulun Danu Beratan Temple เป็นวัดอันดับต้นๆ ของบาหลีที่ต้องไปครับ อยู่ติดทะเลสาบทามกลางหุบเขา เสียค่าเข้าคนละ 50,000 รูเปีย

     ขับรถออกมาไม่ไกลก็แวะที่ Handara Golf & Resort Bali ถ่ายรูปชิคๆ กับซุ้มประตูที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาหลี เสียค่าเข้าคนละ 30,000 รูเปีย

     หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปต่อที่ Tegallalang Rice Terrace หรือนาข้าวขั้นบันได ถือเป็นสถานที่ชมวิวธรรมชาติที่ห้ามพลาดเลยครับ บริเวณรอบๆ ก็จะมีร้านกาแฟ ขายของฝากเมล็ดกาแฟขี้ชะมดของขึ้นชื่อ และร้านขายของที่ระลึกให้แวะซื้อกันได้ครับ

     และกิจกรรมที่มาแล้วห้ามพลาด! ก็คือ Bali Swing  นั่งชิงช้ากลางป่าที่ข้างล่างเป็นเหว ท้าความเสียวครับ เสียค่าเล่นคนละ 150,000 รูเปีย

     ต่อมาช่วงบ่าย เราออกเดินทางต่อไปที่ Tibumana Waterfall เสียค่าเข้าคนละ 10,000 รูเปีย ใช้เวลาเดินลงไปน้ำตกประมาณ 5 นาที ก็จะเห็นภาพแบบนี้ครับ เป็นน้ำตกเล็กๆ แต่สวยงามมาก ต้องรอคิวถ่ายรูปกันนิดนึงครับ

     จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ คือไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Tanah Lot ครับ เป็นอีกหนึ่งวัดริมทะเล ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ตก เกือบไปถึงไม่ทัน แนะนำให้มาถึงประมาณ 5 โมงเย็น แสงยังไม่หมดกำลังพอดี ถ่ายรูปออกมาแนวย้อนแสง สวยสุดๆครับ

     ขับรถเดินทางมาทั้งวันได้เวลากลับโรงแรม กินข้าว พักผ่อนกันแล้ว โดยคืนนี้มุ่งหน้าไปนอนแถวย่าน Kuta Beach ครับ  -DAY5-      วันสุดท้าย เราเลือกไฟลท์สุดท้ายที่ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ ตอน 01.30น. เลยมีเวลาให้เที่ยวต่ออีกทั้งวันสบายๆ วันนี้เลยขอไปเที่ยวแบบชิลๆ คูลๆ บ้างครับ หลังจากลุยหนักๆมา 4 วันติด!      เริ่มกันที่ Motel Mexicola ร้านอาหารกึ่งบาร์ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ กับการตกแต่งสไตล์เรโทร มีกลิ่นอายของความเป็นเม็กซิกัน โดดเด่นด้วยสีสันสดใส สุดคูล เปิดตั้งแต่ 11:00 - 01:00น.

     ใครอยากมาเก็บภาพสวยๆ แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิดครับ คนยังไม่เยอะ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก

ส่วนอาหารก็เป็นสไตล์เม็กซิกันหลากหลายเมนู แล้วที่พลาดไม่ได้ก็ต้องลองสั่งค็อกเทลมาลิ้มลองกันด้วยนะครับ ที่นี่ถือเป็นอีกแห่งที่สามารถมาแฮ้งเอ้าต์กันได้ตั้งแต่สายๆ จนถึงค่ำกันเลย

     หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันไปต่อที่ The Edge Bali ที่พักสุดหรูระดับ 5 ดาว และร้านอาหาร-สระว่ายน้ำ ที่นี่จะวิวดี หรูหรา เงียบสงบ ดูดีไปหมดทุกอย่าง เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง

     สำหรับใครที่ไม่ได้ไปพักค้างคืน นักท่องเที่ยวทั่วไปก็สามารถเข้าไปได้ครับ โดยเสียค่าเข้า 400,000 รูเปีย (รวมค่าอาหารและเครื่องดื่ม) ที่สำคัญต้องจองล่วงหน้าด้วยครับ เพราะที่นี่จำกัดคนเข้าไปใช้บริการในแต่ละวัน

     ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ สระน้ำที่ยื่นออกไปริมหน้าผา พื้นสระเป็นกระจกใสมองเห็นพื้นมหาสมุทร หวาดเสียวมาก!

      ไหนๆ เสียค่าเข้ามาแพงก็ขอนอนพักผ่อน เล่นน้ำ จนเกือบถึงเย็น ก่อนที่จะไปยังจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้

     ที่สุดท้ายของเราในทริปนี้ เราเลือกไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Uluwatu อีกหนึ่งสถานที่ ที่คนนิยมไปรอดูพระอาทิตย์ตก เป็นวัดฮินดูที่ตั้งอยู่บนผาสูง มีทางเดินยาวขนานไปตามกับหน้าผา จะเห็นวิวทะเล ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตก คลื่นกระทบฝั่งด้านล่างของหน้าผาสวยงามมากครับ

     พอไปถึงจอดรถเสร็จ สิ่งที่เจอเป็นอันดับแรกคือลิงครับ! ลิงเยอะมาก เดินเกาะกลุ่มกันไว้ และก็ไม่ควรเอาของมีค่าห้อยตามตัว เพราะเห็นกับตาเลยครับ ลิงกระโดดไปขโมยแว่นตานักนักท่องเที่ยวจีน มาที่นี่ต้องระวังเจ้าลิงให้ดีครับ

     เสียค่าผ่านประตูคนละ 10,000 รูเปีย ก่อนเข้าเค้าจะมีผ้ามาผืนหนึ่งให้ผูกไว้ที่เอว เป็นธรรมเนียมการเข้าวัดของที่นี่ อย่าลืมผูกด้วยนะครับ

     หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ได้เวลาเดินทางกลับบ้านกันแล้วครับ

     ขากลับเราก็ขับรถที่เช่าไปส่งคืนที่สนามบินได้เลยครับ ที่หน้าอาคารผู้โดยสารขาออก โดยนัดแนะเวลากับบริษัทรถเช่าให้เรียบร้อย ใช้เวลาไม่นานตรวจว่าเราขับไม่ชนอะไรมาไหม? ก่อนส่งคืนกุญแจรถ ก็ถือว่าเป็นการจบทริปอย่างเป็นทางการครับ      ถึงกรุงเทพฯ ช่วงเช้ามืดของอีกวันครับ หลังจากถึงบ้านก็นอนสลบไปทันที ก่อนกลับมาทำงาน รายงานข่าวสาร สภาพการจราจร และอุบัติเหตุ ให้กับแฟนเพจ JS100Radio เหมือนเดิมครับ

     สำหรับอินโดนีเซียในทริปนี้ ถือว่าไม่ผิดหวังจริงๆครับ ได้ไปเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น มีทั้งความสนุก ตื่นเต้น และลุยหนักมาก อยากให้คุณได้ไปลองสัมผัสด้วยตัวคุณเองดูสักครั้งประสบการณ์ใหม่ๆ ของการเดินทางอยู่ใกล้แค่เอื้อมครับ.. สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน - ค่าตั๋วเครื่องบินกรุงเทพฯ - กัวลาลัมเปอร์  :  1,225 บาท - ค่าตั๋วเครื่องบินกัวลาลัมเปอร์ - ซุราบาย่า  :  875 บาท - โรงแรมที่สนามบิน KLIA  :  859 บาท - ค่าไกด์+เดินทางที่ Bromo และ Ijen (3วัน) : 5,000 บาท - โรงแรมที่บาหลี (2คืน) : 1,064 บาท - ค่าเช่ารถ  :  400 บาท - ค่าตั๋วเครื่องบินบาหลี - กรุงเทพฯ  :  2,650 บาท - ค่าเน็ต SIM2Fly  :  399 บาท - ค่าโหลดกระเป๋า  :  367 บาท - และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประมาณ :  4,000 บาท รวมทั้งหมดไม่เกิน 17,000 บาท 

Review by : เฮียไปร์ท จิ๊กโก๋ไอที  , Photo by : Peat Kacha ,Kasin Osoth

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0