“บล.บัวหลวง” ประเมินเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน SSF ปีหน้า 2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปกติที่มีเงินไหลเข้ากองทุน LTF ปีละ 4 หมื่นล้านบาท ชี้หลักเกณฑ์ใหม่ลงทุนได้ทุกสินทรัพย์กระทบเงินไหลออกหุ้น ฟาก “บล.ไทยพาณิชย์” เชียร์บลจ.ออกกองหุ้นขายนักลงทุนแทน LTF ชี้ผลตอบแทนลงทุนหุ้นในระยะยาวยังสูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund) หรือกองทุน SSF เป็นกองทุนใหม่ที่จะมาแทนกองทุน LTF ที่กำลังจะหมดอายุลงในปี 2562 นี้ โดยนักลงทุนจะสามารถลงทุนเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีในกองทุน LTF ในปีนี้ได้เป็นปีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม กองทุน SSF อาจไม่ได้ตอบโจทย์การลงทุนในตลาดทุนเท่ากับกองทุน LTF เนื่องจากวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีลดลงมาอยู่ที่ 2 แสนบาท จากเดิมกองทุน LTF สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 แสนบาท รวมถึงกำหนดให้นับรวมวงเงินลดหย่อนของกองทุน SSF เข้ากับกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอายุ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และประกันรวมกันไม่เกิน 5 แสนบาท
อย่างไรก็ตาม ข้อดีตรงที่ไม่กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 5,000 บาท ไม่ต้องซื้อลงทุนต่อเนื่องทุกปี หรือซื้อเฉพาะปีที่ต้องการลดหย่อนภาษีได้ ไม่ต้องลงทุนยาวจนถึงอายุ 55 ปีเหมือนกองทุน RMF และการขยายวงเงินการลดหย่อนภาษีจาก 15% เป็น 30% มองว่าน่าจะช่วยตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่และผู้ที่มีรายได้ปานกลางได้ดี
“ปกติแต่ละปีจะมีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน LTF ปีละประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาอยู่ในกองทุน LTF รวม 3.87 แสนล้านบาทแล้ว ส่วนกองทุน SSF ซึ่งเป็นกองทุนใหม่เราคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าประมาณ 50% ของ LTF หรือเข้ามาประมาณ 2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่เราประเมินเอาไว้อาจจะไม่ได้เข้ามาในตลาดหุ้นโดยตรง เพราะกองทุน SSF เปิดให้ลงทุนได้ในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ” นายวิกิจ กล่าว
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ว่ากองทุน SSF จะเปิดให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่กองทุน LTF กำหนดให้ต้องลงทุนในหุ้นมากกว่า 65% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านักลงทุนจะยังเลือกลงทุนในหุ้น เนื่องจากในระยะยาวการลงทุนในหุ้นยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบอื่นๆ นอกจากนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่าน (2553-2562) ตลาดหุ้นสหรัฐมีการเติบโตที่ค่อนข้างสูง ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ในระยะถัดไปจึงเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะหันมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
“หลังจากนี้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ ก็ต้องทำการบ้านมากขึ้นก่อนที่จะออกกองทุนใหม่ว่านักลงทุนต้องการลงทุนในสินทรัพย์อะไร อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ปีนี้มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น ในระยะต่อไปการที่ผลตอบแทนจะปรับขึ้นอีกจากระดับปัจจุบันน่าจะเป็นไปได้ยากแล้ว” นายสุกิจกล่าว
