ใครจะไปนึกว่า “ความขัดแย้ง” ระหว่างสื่อย่าน “บางนา-ตราด” กับพรรคภูมิใจไทย จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนลามไปสู่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ
ดังนั้น ทันทีที่ “เซ็นทรัล วิลเลจ” เจอ ทอท.เล่นงาน
ด้วยเหตุผลที่รู้ๆ กันอยู่
สงครามเอาคืนจึงปะทุขึ้น
“เชื้อไฟ” ความไม่พอใจจึงเริ่มมี “ควัน” ออกมาให้เห็น
เพราะใครๆ ก็รู้ว่า “ยักษ์ใหญ่” แห่ง “สุวรรณภูมิ” นั้นซี้ปึ้กกับพรรคการเมืองไหน
จนเมื่อพิธีกรรายการหนึ่งของค่าย “บางนา-ตราด” เล่นงาน “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
น้องชายของ “เนวิน ชิดชอบ”
เหมือนอภิปรายไม่ไว้วางใจล่วงหน้า
“ความไม่พอใจ” ที่สั่งสมมานานก็ระเบิดขึ้นมา
ถ้าใช้สำนวนหนังจีนก็ต้องบอกว่า…
… “น้องข้า ใครอย่าแตะ”
พรรคภูมิใจไทยประกาศฟ้องหมิ่นประมาททุกเขตที่มี ส.ส.ของพรรคอยู่
เป็นกลวิธีทางกฎหมายที่ทำให้ “จำเลย” เดือดร้อน
เพราะต้องเดินสายทุกจังหวัดยิ่งกว่านักร้องลูกทุ่ง
“ภูมิใจไทย” นั้นมองข้ามช็อตว่าเกมนี้มีคนอยู่เบื้องหลัง
“เสี่ยหนู” อนุทินจึงออกมาระเบิดแดง
“เอาเวลาไปคิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่า”
ไม่ระบุชื่อ แต่ชัดเจน
ทางด้าน “สื่อใหญ่” ก็ไม่กลัว
ปักหลักซดหมัดแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
ปักธงเลยว่าใครมีข้อมูลเกี่ยวกับ “ภูมิใจไทย”
ส่งมา…ได้เลย
เดี๋ยวจัดให้
จากนั้นเกมก็เริ่มแรงขึ้น เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งแสดงท่าทีจะไม่เพิ่มทุนในสื่อค่ายนี้
แผนเพิ่มทุนล้างหนี้จึงสะดุด
ผู้บริหารสื่อออกมาพูดชัดว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง
เพราะรู้ว่าผู้ถือหุ้นใหญ่รายนั้นมีสัมพันธ์ธุรกิจกับบริษัทก่อสร้างใหญ่ที่ใกล้ชิดกับ “ภูมิใจไทย”
แบบนี้ก็เป็นเรื่อง
“ศุภชัย ใจสมุทร” ออกมาซัดสื่อกลางสภาทันที
กระทบชิ่งถึง “ภรรยา” ของเจ้าของสื่อที่เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
แต่ในวันเดียวกัน อยู่ดีๆ ป.ป.ช.ก็มีมติชี้มูลกรณีการเรียกรับเงิน 20 ล้านบาทจากบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอม
งานนี้พัวพันไปถึงผู้บริหารระดับสูงของ “ซิโน-ไทย”
ใครก็รู้ว่า “คนใหญ่” ของ ป.ป.ช. นั้นสนิทแนบแน่นกับ “นาฬิกา” ของใคร
จาก “น้องข้า…ใครอย่าแตะ”
ลุกลามไปถึงหนังภาคต่อ
“ภรรยาข้า…ใครอย่าแตะ”
และตามมาด้วย “ลูกน้องข้า…ใครอย่าแตะ”
ไม่มีใครรู้ว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
คอการเมืองได้แต่เฝ้ามอง
ด้วยระทึกในดวงหทัยพลัน