ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับเจ้าพ่อตลาดหุ้นทางสื่อต่างๆอย่างครึกโครมผมจึงเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมสื่อจึงเรียกคนๆนี้ว่า“เจ้าพ่อ”
เมื่อสงสัยแล้วทำยังไงล่ะครับ…ไม่ยากครับ ยุคนี้มีกูเกิล จะกลัวอะไร
ลองค้นหาคำว่า “เจ้าพ่อ” ในกูเกิ้ล…สิ่งที่พบคือ “ย้อนรอยเจ้าพ่อคนดัง ตำนานถูกปิดด้วยคมกระสุน” “เจ้าพ่อออกจากคุก ลูกน้องต้อนรับสุดอลังการ” “จุดจบไอ้สัตว์ป่า เจ้าพ่อเหนือเจ้าพ่อ” “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” แล้วก็ “เจ้าพ่อเสี่ยงให้” (เจ้าพ่อใบ้หวย)
ดูแล้วความหมายของเจ้าพ่อจะออกไปในทางลบซะเป็นส่วนใหญ่ครับไม่ติดคุกติดตะรางก็ถูกล้างบางด้วยลูกกระสุน
เมื่อค้นหาคำว่า “เจ้าพ่อตลาดหุ้น” สิ่งที่พบคือ “กองปราบฯ ออกหมายเรียกเจ้าพ่อตลาดหุ้น คดีโกงบิตคอยน์” “เจ้าพ่อตลาดหุ้นดอดพบกองปราบยืนยันความบริสุทธิ์คดีฟอกเงิน”…ก็ยังเป็นความหมายในเชิงลบเช่นกัน
แต่หากดูความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่หรือมีอิทธิพลในถิ่นนั้น” ซึ่งอาจมีความหมายในทางลบหรือทางบวกก็ได้
มาดูกันครับว่าใครบ้างที่เป็นใหญ่หรือมีอิทธิพลในตลาดหุ้นไทย
เริ่มจากผู้ที่เป็นใหญ่โดยบทบาทหน้าที่ก่อนครับ นั่นคือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือชื่อย่อว่าสำนักงานก.ล.ต. ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลตลาดหุ้น ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอาไว้เล่นงานผู้กระทำความผิดคิดชั่วต่อคนอื่น จึงต้องเรียกว่า ก.ล.ต. คือ “เจ้าพ่อเหนือเจ้าพ่อ” เป็นที่พึ่งของนักลงทุนที่ลงทุนตามกฎระเบียบอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
ถ้ามองในแง่ของการซื้อขาย ซึ่งข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ จำแนกผู้ลงทุนออกเป็น 4 กลุ่ม คือ นักลงทุนบุคคลทั่วไปในประเทศ นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มที่มีเม็ดเงินซื้อขายเป็นสัดส่วนสูงสุดคือ นักลงทุนบุคคลทั่วไปในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ในเดือนสิงหาคม 2561 มูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ สูงเป็นอันดับหนึ่ง แซงนักลงทุนทั่วไปในประเทศที่เป็นอันดับหนึ่งมาตลอด โดยช่วงวันที่1-17 สิงหาคม2561 มูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนประมาณ39% ของมูลค่าการซื้อขายรวมในขณะที่นักลงทุนไทยทั่วไปมีสัดส่วนแค่37.6% จึงสามารถกล่าวได้เต็มปากว่านักลงทุนต่างชาติคือ“เจ้าพ่อ” ผู้ทรงอิทธิพลในด้านมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
มาถึงนักลงทุนรายบุคคลกันบ้าง คนที่จะได้รับคำนิยามความเป็น “เจ้าพ่อ” ควรจะต้องมีอิทธิพลในการนำพาราคาหุ้นให้ขึ้นหรือลงได้ดังใจ ซึ่งผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่ทำเช่นนั้นได้ เพราะตลาดหุ้นไทยไม่ใช่ตลาดเกิดใหม่อายุน้อย แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นเรามีอายุอานามปาเข้าไปกว่า 43 ปีแล้ว มีพัฒนาการด้านต่างๆ มากพอสมควร ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มีความรู้มากขึ้น ถูกจูงจมูกยากขึ้น
แต่ในแง่ของหุ้นรายตัว อาจจะมีผู้ที่ตั้งตนเป็นเจ้าพ่อชักจูงนักลงทุนคนอื่นๆ ให้ซื้อหรือขายหุ้นได้ โดยใช้พัฒนาการของเทคโนโลยีเข้าช่วย นั่นคือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เช่น กลุ่มไลน์ เป็นต้น
ดังนั้นผู้ลงทุนทั่วไปที่ไม่อยากร่วมแก๊งค์ของผู้มีอิทธิพลก็ควรเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มี“เจ้าพ่อ” คอยบงการ…เลือกลงทุนหุ้นที่ขึ้นลงด้วยดีมานด์-ซัพพลายของตลาดอย่างแท้จริงจะดีกว่า
เจ้าพ่อตลาดหุ้นจะมีอิทธิพลกับใครก็ตามปล่อยให้“เจ้าพ่อเหนือเจ้าพ่อ” เค้าจัดการกันไปอย่าให้เขามามีอิทธิพลกับตัวของเราโดยตรงก็พอครับ
