โวยเมนูอาหารราคาโหด จี้สอบเสิร์ฟ'สัตว์สงวน'ขึ้นโต๊ะ

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก “Rongpon Visut” ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า ผมไปนั่งกินอาหารในร้านอาหารที่กระบี่ร้านหนึ่ง…ย้ำก่อนนะครับว่าผมกินจ่ายตังค์ ไม่ได้ไปกินฟรีหรืออะไรทั้งสิ้น…ผมนั่งดูเมนูอาหาร ไปสะดุดที่เมนูอาหารจานผัก…ผักหวานผัดไข่ ราคาจานละ 120 บาท…แตงกวาผัดไข่ จานละ 100…ผักเหมียงผัดไข่จานละ 120!!! ผมแค่บ่นไปตามประสาว่าทำไมเมนูพวกนี้ ถึงแพงจัง ผักหวาน คือผักที่เก็บได้ตามรั้วบ้านทั่วไปในภาคใต้ ผักเหมียง เป็นผักที่ปลูกกันในสวนยางพารา ราคาในตลาดสดมัดละ 20 บาท แตงกวาผักพื้นๆ ที่ไม่น่าจะมีราคาแพงมาก…นอกจากนี้ร้านนี้ยังมีเมนู ผัดเผ็ดกระจง…คั่วกลิ้งกระจง ราคาจานละ 200 ทั้งๆ ที่ “กระจง” เป็นสัตว์สงวนฯ มุดสังผัดเผ็ด…คั่วกลิ้งมุดสัง หรือ อีเห็น ราคาจานละ 200 บาท…คั่วกลิ้งกระรอก…ผัดเผ็ดกระรอก ราคาจานละ 200 บาท ฯลฯ นี่แค่บางส่วนของเมนูที่ผมเอ่ยถึง…เพราะกระบี่ เป็นที่รู้กันว่าอาหาร… “โคตรแพง” ผมถามเจ้าของร้านว่าทำไมอาหารแพง เจ้าของร้านบอกก็แพงเพราะในตลาดขายแพง…แต่ไม่นาน…มีชายคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะ ตบโต๊ะแล้วบอกผมว่า “ผมเป็นตำรวจชุดสืบเมือง ผมเป็นน้องเจ้าของร้าน” ประมาณไม่พอใจที่ผมบอกว่าอาหารแพง

ผมแค่อยากรู้ว่า ผมวิจารณ์ว่าอาหารแพง…ผมผิดหรือ?….ตำรวจคนนี้ พูดแบบนี้เพื่อ?….อาหารในกระบี่ แพงจริงหรือไม่?….ในฐานะผู้บริโภค ผมแค่อยากรู้ความจริง แต่ถึงขนาดมีคนมาพูดจาข่มขู่ผม คนที่ข่มขู่เป็นตำรวจ เพราะร้านนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นตำรวจ….ตำรวจมากินอาหารที่เป็นสัตว์ป่าสงวนฯ? ผมอยากขอความเห็น ว่าผมผิดหรือเปล่า?ทั้งนี้หลังจากที่มีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป ได้มีชาวโลกออนไลน์เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ได้แชร์ประสบการณ์ที่เคยกินอาหารในจ.กระบี่ โดนเห็นว่าราคาแพงมาก พร้อมกับประณามเจ้าของร้านที่นำสัตว์ป่าคุ้มครองมาขาย โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ขณะที่เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการ ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่บอกว่า ต้นทุนวัตถุดิบมีราคาแพง และเช่าร้านต่อมาอีกที  ซึ่งจะได้มีการตรวจสอบต่อไป

ด้าน นายสุวัฒน์ สุขสิริ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทุ่งทะเล จ.กระบี่  กล่าวว่า  เบื้องได้รับทราบข้อมอมูลบ้างแล้ว อยู่ระหว่างตรวจสอบ ทั้งนี้ในส่วนของกระจง นั้นเป็นสัตว์คุ้มครอง หากมีนำมาค้าขาย จะต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องกรณีที่เกิดขึ้นจะต้องตรวจสอบในส่วนของร้านอาหาร ว่ามีเนื้อกระจงอยู่จริงหรือไม่เป็นกระจงชนิดใด และทางร้านจะต้องแสดงที่มาของเนื้อได้ว่านำมาจากที่ใดหากเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงที่ขออนุญาตถูกต้อง ก็ถือว่าไม่มีความผิด แต่หากไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาได้ ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ฯ.

ขอบคุณภาพและข้อความจากเพจ Rongpon Visut