กระหึ่ม! เทรนด์อินทรีย์มาแรง “อ.ยักษ์” รมช.ประกาศกร้าว อีก 2 ปีข้างหน้าไทยตั้งเป้าพื้นที่อินทรีย์ 5 ล้านไร่ พร้อมย้ำความยิ่งใหญ่ด้วยงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ “เกษตรอินทรีย์ ดินดีวิถีไทย อาหารปลอดภัย สู่การเกษตรยั่งยืน” ถัดมาอีก 1 วัน แตกหักนายทุนค้าสารเคมี “จำกัดการใช้”
นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานในงานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์ “เกษตรอินทรีย์ ดินดีวิถีไทย อาหารปลอดภัย สู่การเกษตรยั่งยืน” ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 อาคาร 8 กรมพัฒนาที่ดิน ว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในปี 2564 มีเป้าหมายเกษตรกรรมยั่งยืน จำนวน 5 ล้านไร่ เกษตรอินทรีย์มีเป้าหมายจำนวน 6 แสนไร่ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อแรงกดดันจากการแข่งขัน จะทำอย่างไรให้เกษตรอินทรีย์มีพื้นที่มากกว่า 6 แสนไร่ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง
โดยการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จึงได้จัดงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์ “เกษตรอินทรีย์ ดินดีวิถีไทย อาหารปลอดภัย สู่การเกษตรยั่งยืน” ขึ้นในวันที่ 27 – 28 เมษายน 2562 ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและน้ำ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้การผลิตเกษตรอินทรีย์ทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การแปรรูปและการตลาด รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืนต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
“การทำเกษตรกรรมยั่งยืนมี 2 เรื่องที่สำคัญ คือความอุดมสมบูรณ์ของดิน การทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรรมยั่งยืนทุกรูปแบบ เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน ถ้านำ AgriMap ช่วยในงานขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนและทำให้ดินสมบูรณ์ทุกพื้นที่เป้าหมาย และ 2 คือวันดินโลก ทั่วโลกยกย่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางดินเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งนานาชาติได้ประจักษ์และเห็นว่าพระราชดำริแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องดินของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะทำให้โลกเกิดการพัฒนาภาคการเกษตรแบบยั่งยืนได้ โดยวันดินโลกปี 2562 “Stop Soil Erosion, Save our Future” ดำเนินการรณรงค์ 100 กว่าล้านไร่ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทั้งหมดนี้ผมเชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์จะประสบผลสำเร็จ เกิดผลที่เป็นรูปธรรม บรรลุเป้าหมายการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้กับภาคเกษตรได้อย่างแท้จริง” นายวิวัฒน์ กล่าว
นางสาวภัทราภรณ์ โสเจยยะ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การบรรยายพิเศษ และการเสวนนาตีแผ่คัมภีร์ เคล็ดลับการทำเกษตรอินทรีย์ให้ประสบผลสำเร็จ โดยวิทยากรที่เชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ นิทรรศการเกษตรอินทรีย์ และสวนสืบสานศาสตร์พระราชา การจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ของดีภาคอีสาน การบริการตรวจวิเคราะห์ดิน การร่วมประกาศปฏิญญาสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาที่ดินจึงขอเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านมาเที่ยวงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์ และเยี่ยมชมศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งภูมิภาคเอเชีย (CESRA) เป็นโอกาสดีที่จะได้รวมพลคนหัวใจเกษตรอินทรีย์ รวมพลังทำดินดี ผลิตอาหารปลอดภัย ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่ผลิตอาหารปลอดภัยที่ดีสุดของโลก
นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนเข้าร่วมงานวิ่ง “CESRA Country Road Run” ในวันที่ 28 เมษายน 2562 อีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กลุ่มวิจัยและพัฒนาหมอดินอาสาและบริหารจัดการเครือข่าย กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน โทร/โทรสาร 02-579-4194 และสามารถเข้าร่วมงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์“เกษตรอินทรีย์ ดินดีวิถีไทย อาหารปลอดภัย สู่การเกษตรยั่งยืน” ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและน้ำ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ตามวันและเวลาดังกล่าว
ด้านนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเห็นชอบให้จำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอท ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส โดยมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรจัดทำแผนปฏิบัติการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดและคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้มีมติเห็นชอบใน 6 มาตรการจำกัดการใช้ตามที่กรมวิชาการเกษตรเสนอ โดยกรมวิชาการเกษตรได้เสนอร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำนวน 5 ฉบับซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ทั้ง 6 มาตรการในการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอลงประกาศในราชกิจจากนุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน
ภายหลังจากประกาศฯ ทั้ง 5 ฉบับมีผลบังคับใช้แล้วจะมีผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ เกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่น ผู้ขาย ผู้นำเข้า/ผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องปฎิบัติตามมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ใช้และผู้รับจ้างพ่นสารเคมีทั้ง 3 ชนิดต้องผ่านการอบรม และหรือผ่านการทดสอบความรู้ตามหลักสูตรการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยกรมวิชาการเกษตรจะจัดอบรมวิทยากร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตรจำนวน 240 คน โดยแบ่งการอบรมออกเป็น 2 รุ่น รุ่นที่ 1 อบรมวันที่ 24 เมษายน นี้ ส่วนรุ่นที่ 2 อบรมวันที่ 25 เมษายน เพื่อไปอบรมเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย จำนวน 2,000 คน เพื่อไปอบรมเกษตรกร โดยมีกำหนดจัดอบรมเพื่อสร้างวิทยากรดังกล่าวในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม 2562
ทั้งนี้ วิทยากรที่ผ่านการอบรมทั้งหมดจะต้องไปอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรจำนวน 1.5 ล้านคน ประกอบด้วยเกษตรกรผู้ปลูกพืช 6 ชนิด ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา อ้อย และไม้ผล โดยเนื้อหาที่อบรมประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้ / อันตรายจากการใช้ ความเป็นพิษต่อร่างกาย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม / การใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยกำหนดจัดอบรมเกษตรกรดังกล่าวในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน – กันยายน 2562 สำหรับผู้รับจ้างพ่น จำนวน 50,000 คน กรมวิชาการเกษตรจะจัดอบรมระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2562 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
นอกจากนี้ยังมีการอบรมให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 79,988 คน โดยจะจัดอบรมเกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด และบทบาทหน้าที่ ความสำคัญของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่แต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบการใช้ 3 สาร ภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ผ่าน video conference เครือข่ายของกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ ในช่วงระว่างเดือนมิถุนายน 2562
ตามมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ได้กำหนดพืชที่ให้ใช้พาราควอต และไกลโฟเซต เฉพาะเพื่อกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล เท่านั้น ส่วนคลอร์ไพริฟอส ให้ใช้เฉพาะกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผล รวมทั้งได้กำหนดพื้นที่ห้ามใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยห้ามใช้ในพื้นที่ปลูกพืชผักหรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับหน่วยงานราชการ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมทางหลวงชนบท ที่ใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อกำจัดวัชพืชข้างทางรถไฟ และข้างถนน กรมวิชาการเกษตรได้เตรียมออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย แต่ต้องมาขออนุญาตเพื่อใช้สารกำจัดวัชพืช ตามพื้นที่และปริมาณที่กำหนดโดยตรงต่อกรมวิชาการเกษตร
“ภายหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้เกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการอบรม ชนิดพืชที่ปลูก พร้อมจำนวนพื้นที่ปลูกเพื่อกำหนดปริมาณสารเคมีที่จะซื้อไปให้มีความเหมาะสมกับความต้องการใช้ เพื่อนำไปแสดงเป็นหลักฐานในการซื้อสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ส่วนผู้รับจ้างพ่นก็จะต้องผ่านการอบรมเช่นเดียวกัน โดยต้องมีใบอนุญาตรับจ้างพ่น” นายอนันต์ กล่าว