โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

โรคเรียกร้องความสนใจ… โดยใช้ลูกตัวเองเป็นเหยื่อ! - เพจ Beautiful Madness by Mafuang

TALK TODAY

เผยแพร่ 10 ธ.ค. 2562 เวลา 09.05 น. • เพจ Beautiful Madness by Mafuang

เมื่อสองปีที่แล้ว ในอเมริกา

ครั้งแรกที่ต้องเรียนเรื่องโรคต่างๆ ทางจิตวิทยานี้

เราว้าวมาก เพราะเพิ่งรู้ว่า มันมีโรคหรืออาการที่ช่างลึกซึ้งและทำให้เราต้องทึ่งอีกมากมายกว่าแค่ ‘ซึมเศร้า’ หรือ ‘วิตกกังวล’ ซะอีก

ครูของเรา ซึ่งเป็นจิตแพทย์ เล่าให้ฟังถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเข้ามาพบ พร้อมเล่าเรื่องราวชีวิตและปัญหาทางจิตและร่างกายที่รบกวนเธออย่างหาสาเหตุไม่ได้ และอาการที่เล่ามาก็สุดเหวี่ยงซะเหลือเกิน พอครูพยายามจะชี้สาเหตุ หรือจับสังเกตอะไรได้แล้ว เธอก็บอกปัด เหมือนต้องการจะอยู่ในวังวนแห่งความคลุมเครือนี้ พอครูไปดูประวัติทางการแพทย์ของเธอ ก็พบว่าเธอเปลี่ยนหมอมาแล้วบ่อยครั้งมาก และทุกครั้งที่เปลี่ยน ก็จะเป็นช่วงหลังจากที่หมอพบเจอ ‘สาเหตุ’ ของอาการผิดปกติของเธอ…

วันหนึ่งครูพูดกับเธอว่า

‘ถ้าไม่มีโรคแปลกๆ เหล่านี้ ตัวตนของคุณเป็นยังไงคะ’

ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้โฮ พร้อมบอกว่าเธอไม่รู้ ความป่วยทั้งหลายนี้คือสิ่งที่เธอยึดเอาไว้เพื่อบ่งบอกความหมายของชีวิตเธอ

 ‘Factitious Disorder’ คืออาการที่คนป่วยนั้น ปลอมแปลงและป่าวประกาศถึงอาการป่วยที่ไม่เป็นความจริงของตัวเอง คนไข้มักจะพูดถึงอาการที่เว่อร์วัง ประดิษฐ์ ปกปิดความจริงบางอย่าง เช่น ‘รู้สึกซึมเศร้ามาหลายเดือนแล้วค่ะ เพราะว่าคุณพ่อเพิ่งเสียไป’ –ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรืออาจเป็นการไปตรวจฉี่ แล้วแอบเอาเลือดหยดลงไป เพื่อหวังให้หมอวินิจฉัยโรคที่น่าตกใจแบบหาคำตอบไม่ได้ 

Factitious Disorder เป็นโรคที่ยังหาคำตอบแน่ชัดไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าเกิดจากอาการอยากเรียกร้องความสนใจของคนไข้ เพื่อให้มีตัวตนในสังคม 

ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือโรค Factitious Disorder imposed on another หรือ Munchausen’s syndrome by proxy (ตกใจกับชื่อโรคใช่มั้ย เราก็ตกใจ จนตอนนี้ก็ยังจำชื่อไม่ได้) 

แต่มันคือการปลอมแปลงโรคแต่โบ้ยไปให้คนอื่น! 

คือคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ก็จะไปหาเหยื่อแล้วโยนการวินิจฉัยผิดๆ นี้ไปให้เขา น่าสงสารสุดๆ เพราะเหยื่อทั้งหลายมักเป็นคนที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่มีปากมีเสียง หรือพวกเด็กจิ๋วๆ นั่นเอง

ข่าวที่โด่งดังมากในอเมริกาเกี่ยวกับโรคนี้ นั่นก็คือ ‘Salt Mom’ หรือ คุณแม่เกลือ นั่นเอง 

ครูได้เปิดวิดีโอนี้ให้พวกเราดูในห้องเรียน

เรื่องมีอยู่ว่า ในปี 2008 มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเลซี่ สเปียร์ส (ไม่ได้เป็นพี่น้องกับบริธนี่ สเปียร์สแต่อย่างใด) เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่คลอดลูกชายสุดน่ารักของเธอออกมาลืมตาดูโลกชื่อน้องการ์เน็ต น้องก็สุขภาพแข็งแรงสดใสดี แต่เธอกลับบอกหมอว่า ลูกไม่สบายหนักและมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเจาะท้องต่อท่อใส่อาหารเข้าไป เพราะลูกไม่ยอมกินข้าวเองเลย (ถึงตอนนี้ ทุกคนเริ่มสงสัยแล้วว่า หมอจะเชื่อลงได้อย่างไร ขอบอกว่า คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้ ความรู้ด้านยาต่างๆ แน่นมาก รู้หมดว่ายาตัวไหนใช้ทำอะไรและมีวิธีหลอกล่อหมอยังไงให้เนียน) 

ก่อนที่เลซี่จะมีลูก เธอได้เป็นพยาบาลดูแลเด็กมากมายในโรงพยาบาล เธอมักมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับคุณแม่ๆ ของเด็กเหล่านั้น เธอแสดงท่าทีรักเด็กจนแม่ๆ ทั้งหลายเชื่อใจ แต่อยู่ดีๆ เด็กทุกคนที่เธอดูแลก็เริ่มป่วยติดเชื้อในหูอย่างหนักแบบน้ำหนองไหล (อึ๋ยยย) และเมื่อเด็กเหล่านั้นพ้นจากความดูแลของเธอแล้ว ทุกคนก็หายป่วยกลับเป็นปกติดี

ตัดภาพมาที่น้องการ์เน็ตลูกของเธอกันบ้าง ในข่าวบอกว่า เธอพาลูกเข้าออกโรงพยาบาลแล้วประมาณกว่า 20 โรง หลอกล่อคุณหมอให้ทำขั้นตอนรักษายิ่งใหญ่เพื่อป้องกันลูกจากการอาเจียน เธอบอกว่าลูกมีอาการเสี่ยงว่าจะชัก เลือดไหลออกจากหู ติดเชื้อ ระบบการย่อยผิดปกติ ส่วนท่อที่ต่อเข้าท้องนั้น (คือเป็นท่อฝังถาวรค้างไว้ที่ท้องเลย แล้วทุกวันก็คอยเอาอาหารใส่เข้าไป) เมื่อลูกอายุเริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว ลูกไปงานวันเกิดเพื่อน คุณแม่ของเพื่อนก็เห็นว่าลูกกินอาหารได้ปกติดี เอนจอยกินเค้กมากๆ ไม่เห็นจะมีปัญหาเรื่องไม่ยอมกินเลย แต่เลซี่ก็ยืนกรานว่าลูกป่วยสุดๆ 

เธอสร้างช่องทางโซเชียลมีเดียมากมาย เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ‘น่าสงสาร’ ของลูกเธอ มีแต่ผู้คนเข้ามาให้กำลังใจเธอ และเป็นห่วงเป็นใยสภาพจิตใจของทั้งเธอและลูกกันใหญ่ 

(คนที่เป็นโรคเหมือนที่เลซี่เป็นนี้ จะเป็นคนที่โหยหาความสนใจ ต้องการได้ยินคำชม และเธอได้สิ่งนี้จากการดูเป็นคุณแม่น่าสงสารที่ต้องดูแลลูกที่ป่วยของเธออย่างไม่ย่อท้อนั่นเอง คนที่เป็นโรคนี้มักเป็นคนไม่ค่อยมีความภูมิใจในตัวเอง มีความสัมพันธ์ที่แย่กับคู่รัก ซึ่งเลซี่ก็โดนแฟนของเธอทิ้งไป และไม่ค่อยได้รับแรงสนับสนุนอื่นในชีวิตจริง นอกเหนือจากอาการเจ็บป่วยของลูกตัวเอง และที่สำคัญ โรคนี้วินิจฉัย ยากกกกก มากกกกกก เพราะมันไม่สามารถหาหลักฐานอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันในเวลาอันรวดเร็ว)

ตอนจบของเรื่องนี้ก็คือ

ในปี 2014 วันสุดท้ายที่เลซี่พาลูกที่ทรุดหนักเข้าโรงพยาบาล คุณหมอตกใจมากเพราะระดับโซเดียมในตัวของลูกนั้นสูงเกินคาด สักพักหนึ่ง ลูกของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้นหลังได้รับความช่วยเหลือจากหมอ แต่กล้องวงจรปิดในห้องผู้ป่วยของลูกก็จับภาพเห็นว่า เธออุ้มลูกเข้าไปในห้องน้ำ(ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด) อยู่หลายครั้ง และได้ยินเสียงลูกตะโกนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ลูกต้องเข้าห้องฉุกเฉินเพราะโซเดียมสูงเกินคาดอีกแล้ว หมอเตือนเธอว่า ห้ามให้น้ำเด็ดขาดไม่งั้นสมองจะบวม แต่แล้วหมอก็พบขวดน้ำที่ว่างเปล่าใต้เตียงลูกของเธอ ในที่สุดน้องการ์เน็ตก็ต้องจบชีวิตลงเพราะระดับโซเดียมที่สูงเกินไปและสมองที่บวมอย่างสลด

ตำรวจและนักสืบทั้งหลายบุกค้นบ้านเธอ จึงพบว่า ถุงน้ำเกลือสีขาวที่มองไกลๆ เหมือนจะเป็นนมหรือสารอาหารมีประโยชน์ต่างๆ ที่เธอได้ให้ลูก กลับกลายเป็นถุงที่มีแต่เกลือ!! เกลือเป็นเม็ดๆ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายถุง

เลซี่ได้ทำการโบกเกลือลงไปในท่ออาหารของลูกทุกวันๆ เพื่อสร้างเจ็บป่วยชวนฉงนนี้ให้ลูก และเพื่อให้ตัวเธอเองเป็นที่พูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง เพื่อให้เธอมีตัวตนแม้จะอยู่ในสังคมโซเชียลก็ตาม

และแม้จะต้องแลกกับชีวิตไร้เดียงสาของลูกแท้ๆ ของตัวเอง

ก็ยอม…

เมื่อวิดีโอจบ

อาจารย์หันหน้าขึ้นมาเห็นเรากำลังซึมถึงขีดสุด

อาจารย์ยิ้มแหะๆ แล้วพูดว่า

‘เอ้อ… คิดซะว่า เนี่ย เราโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่แม่ไม่ทำแบบนี้กับเรา!’

อาจารย์ยิ้มกว้าง..  

จบคลาส

พร้อมเดินจากไป 

.

.

.

โลกนี้ ยังมีอะไรให้ต้องอึ้งอีกเยอะสินะ

เราได้แต่คิดในใจ

อ่านบทความจากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0