โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

โยชิเอะ ชิราโทริ พ่อมดเรือนจำที่สามารถแหกคุกด้วยน้ำซุป !! - เพจ Eak SummerSnow

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 27 มิ.ย. 2563 เวลา 03.43 น. • เพจ Eak SummerSnow

หลังจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา บ้านเรามีข่าวเกี่ยวกับการเตรียมการแหกคุกของ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งก็กลายเป็นข่าวใหญ่ ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเหรอกับการวางแผนแหกคุกอะไรขนาดนั้น ดูหนังกันมากไปรึเปล่า ? แต่ข่าวนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง ๆ หนึ่งในญี่ปุ่นครับ 

เป็นเรื่องของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะเสียชีวิตไปนานแล้วเขาก็ยังถูกจดจำในฐานะตำนาน และถูกปั้นหุ่นขี้ผึ้งเอาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริ จังหวัดฮอกไกโด เขาก็คือ โยชิเอะ ชิราโทริ อัจฉริยะตำนานแห่งการแหกคุกที่สามารถแหกคุกได้ง่ายดายราวกับพ่อมด เป็นผู้ที่สามารถแหกคุกออกจากทุกเรือนจำที่ไม่เคยมีใครแหกคุกออกมาได้ จนรัฐบาลญี่ปุ่นยังต้องยอมแพ้และลดโทษให้ !!

ก่อนอื่นเรามาเล่าประวัติความเป็นมาของเขาก่อนว่าเขาเป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงติดคุกได้นะ ? 

นายชิราโทริ ถูกบันทึกไว้อย่างคร่าว ๆ ว่าเขาเป็นชาวอาโอโมริ เกิดในช่วงปี 1907 หรือราว ๆ ร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งตอนเด็ก ๆ ก็เขาก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเท่าไร ก็เลยเป็นเด็กเกเร มีปัญหากับตำรวจบ่อย ๆ แต่ก็ยังไม่เคยถึงขนาดถูกจับเข้าคุกมาก่อน จนนายชิราโทริอายุได้ 26 ปี เขาก็ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ 

ตามประวัติของเขา ตลอดชีวิตของนายชิราโทริ เขาบอกมาตลอดว่าตัวเขาเองนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์และตกเป็นเพียงแพะรับบาปในคดีนี้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ และเพราะเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานอะไรมาสู้คดีได้ สุดท้ายเขาก็ถูกตัดสินให้ “จำคุกตลอดชีวิต” ในคุกที่อาโอโมริบ้านเกิดของเขานั่นเอง ซึ่งโทษจำคุกตลอดชีวิตนี้ อาจจะเป็นเรื่องราวสุดท้ายในบันทึกของใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับนายชิราโทริแล้ว การติดคุกตลอดชีวิตในครั้งนี้กลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นตำนานแห่งการแหกคุก ที่ทุก ๆ คนจะต้องจดจำชื่อของเขา !

เขาใช้เวลาประมาณ 3 ปีอยู่ในคุกที่อาโอโมริด้วยความยากลำบาก เพราะในสมัยก่อน ไม่ได้มีเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้ามาควบคุมความเป็นอยู่ในคุก ทำให้ชีวิตในคุกนั้นเหมือนนรก เขาถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย แถมยังถูกกลั่นแกล้งสารพัด ทั้ง ๆ ที่ (ในมุมมองของเขา) เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ … 

ดังนั้นในวันหนึ่งที่ความอดทนของเขาหมดลง ตำนานการแหกคุกครั้งแรกของนายชิราโทริก็เริ่มขึ้น โดยภายหลังเขามีการตั้งฉายาให้สำหรับวีรกรรมการแหกคุกของนายชิราโทริในครั้งนี้ว่าเป็น “The Lockpicker” เพราะสามารถแหกคุกออกมาได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัยแค่ช่วงเวลาเปลี่ยนกะของผู้คุม เขาใช้ลวดจากถังตักน้ำที่ขโมยมาจากในห้องอาบน้ำ นำมาสะเดาะกุญแจมือ รวมถึงประตูห้องขัง แถมเพิ่มความเนียนด้วยการเอาเศษขยะในคุกมานอนห่มผ้าไว้ให้ผู้คุมไม่รู้ตัวอีกต่างหาก จากนั้นก็หนีไปอย่างง่ายดาย แต่ทว่าก็ถูกจับกลับมาในเวลาไม่นานนักในระหว่างที่กำลังขโมยของจากโรงพยาบาล

แต่เจ้าหน้าที่ก็เริ่มกังวลว่าเขาจะพยายามแหกคุกอีก ครั้งนี้จึงส่งเขาไปไกลถึงจังหวัดอากิตะ ซึ่งที่นั่นมีระบบป้องกันการแหกคุกที่ดีกว่าที่อาโอโมริ แต่นั่นก็ไม่สามารถขังเขาได้นาน… 

แม้จะไม่ง่ายเหมือนคุกที่อาโอโมริ เพราะคุกที่นี่เป็นห้องหลังคาสูง และมีกำแพงเป็นแบบเรียบไม่สามารถปีนได้ แถมยังถูกจับตามองเป็นพิเศษเพราะเคยแหกคุกมาก่อน แต่สิ่งที่นายชิราโทริทำเพื่อจะแหกคุก ก็คือการหมั่นฝึกซ้อม !! โดยเขาใช้วิธีสะเดาะกุญแจแบบเดิมที่เคยใช้ในคุกแรกในช่วงกลางคืน แล้วพยายามฝึกซ้อมการปีนกำแพงเรียบ ๆ นั้นทุกวัน ฝึกเสร็จก็กลับมาใส่กุญแจมือนอน ทำซ้ำ ๆ จนสามารถปีนกำแพงนั้นได้ 

เมื่อฝึกปีนคล่องจนสามารถขึ้นไปถึงเพดานได้แล้ว เขาก็ทำการขยับเพดาน (ที่ทำจากไม้อย่างไม่แน่นหนานักเพื่อให้แสงส่องลงมาถึง) ทุกวัน ๆ จนมันหลุดออก แล้วก็ทำการสำรวจทางหนีอย่างรอบคอบ ก่อนที่เขาจะหนีไปได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง

แต่เนื่องจากพอออกมาแล้วเขาก็ไม่มีที่ไป เขาจึงตัดสินใจเข้าไปเจรจากับตำรวจด้วยตัวเองพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้ต้องขึ้นศาลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขา รวมถึงยื่นขอเสนอให้ศาลรับฟังเขา เพื่อจะปฏิรูประบบของคุกให้ผู้ต้องขังมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทรมานเหมือนตกนรก ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รับปากอย่างดี แต่สุดท้ายก็กลับถูกหักหลัง เขาไม่มีโอกาสได้ขึ้นศาลเพื่อแก้ต่างในความบริสุทธิ์ของตัวเอง แถมยังถูกส่งไปยังเรือนจำที่ถือว่ามีความโหดที่สุดของญี่ปุ่นในยุคนั้น 

นั่นก็คือ คุกอะบาชิริ … ชื่อคุ้น ๆ ไหมครับ ? คุกนี้ก็คือคุกที่เราพูดถึงกันไปตอนแรกนั่นเอง ในปัจจุบันที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว แล้วก็เป็นที่ที่เขาปั้นหุ่นขี้ผึ้งของนายชิราโทริเอาไว้นั่นแหละ แต่ในสมัยนั้นคุกอะบาชิริในจังหวัดฮอกไกโดที่ถือว่าเป็นคุกที่โหดร้ายที่สุดในญี่ปุ่นสำหรับขังนักโทษอุกฉกรรจ์ มีการใช้แรงงานอย่างหนักในอากาศที่หนาวเย็นของฮอกไกโด แถมยังมีการป้องกันการหลบหนีที่ดีที่สุดอีกด้วย

ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนจับตามองเขาเป็นพิเศษ หลังจากเขาสามารถแหกคุกออกมาได้ถึง 2 ครั้ง โดยในคุกอะบาชิรินี้ นายชิราโทริอยู่ในคุกด้วยความโกรธแค้นที่ถูกหักหลังจากเจ้าหน้าที่ พร้อมกับประกาศอย่างเปิดเผยว่าเขาจะหนีออกไปให้ได้…และการแหกคุกครั้งนี้ของเขาก็ถือเป็นตำนานที่โด่งดังไปทั่วโลก นั่นก็คือการแหกคุกด้วยซุปมิโสะนั่นเอง !!

โดยนายชิราโทริ นำซุปมิโสะจากอาหารที่เขาได้รับมาเทใส่น็อตของกุญแจมือและประตูห้องขังที่เป็นไม้ เขาทำการเทซุปซ้ำอยู่อย่างนั้นวันละนิดวันละหน่อยเป็นเวลานานหลายเดือนจนมันผุกร่อน สุดท้ายแล้วก็สามารถถอดกุญแจมือและซี่ประตูห้องขังที่เป็นไม้ออกได้และเตรียมหลบหนีออกมาในวันที่คุกไฟดับ แต่ถึงจะถอดซี่ประตูออกมาแล้วช่องว่างนั้นก็ยังแคบมาก เขาจึงต้องพยายามทำตัวให้ลีบเล็ก (ประวัติบางที่บอกว่าเขาใช้วิชาถอดกระดูกเลยทีเดียว) เพื่อลอดลูกกรงออกมาก่อนจะปีนกำแพงหลบหนีไปได้ ซึ่งการหลบหนีครั้งนี้ของเขาถูกบันทึกให้เป็นสุดยอดตำนานแห่งการแหกคุกของญี่ปุ่นเลยทีเดียว เพราะไม่เคยมีใครหลบหนีจากเรือนจำอะบาชิริได้มาก่อน

ครั้งนี้เขาหลบหนีออกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในเหมืองเก่าเป็นเวลา 2 ปี และเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกพอดี ทำให้โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก แต่เขาก็ถูกจับกุมอีกครั้งหลังจากไปพยายามขโมยมะเขือเทศในสวนและพลั้งมือฆ่าเจ้าของสวนตาย 

ครั้งนี้เขาถูกตัดสินให้ถูกประหารชีวิตหลังจากแหกคุก 3 ที่และเพิ่มด้วยคดีฆาตกรรม โดยเขาถูกส่งไปที่เรือนจำในซัปโปโรเพื่อรอวันประหาร พร้อมการจับตามองขั้นสูงสุดในห้องขังแบบพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ มีประตูหน้าต่างมีขนาดเล็กมาก ๆ เพื่อป้องกันการหลบหนี และให้เจ้าหน้าที่ 6 นายผลัดกันเฝ้าดูเขาตลอดเวลาแม้แต่เวลาอาบน้ำ 

ครั้งนี้ดูเหมือนจะยากเกินไป เจ้าหน้าที่เฝ้ามองนายชิราโทริในวัยแก่ นั่งมองเพดานอย่างคนสิ้นหวังทุก ๆ วัน เขาไม่พูดคุยตอบโต้กับเจ้าหน้าที่คนไหนอีก ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งใด ๆ จนทุกคนคิดว่าคงจะถึงวาระสุดท้ายของจอมแหกคุกอัจฉริยะผู้นี้แล้วจริง ๆ โดยหารู้ไม่ว่า ทั้งหมดนั่นคือแผนที่เขาวางไว้อย่างดี !

นายชิราโทริทำเป็นคนเหม่อลอยนั่งมองเพดานทั้งวันเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตายใจ แล้วในเวลากลางคืน เขาก็แอบถอดพื้นไม้ใต้ที่นอนของเขาออก แล้วใช้ชามซุปขุดพื้นดินทุก ๆ คืนใต้ที่นอนของเขา ซึ่งวางของแบบเนียน ๆ ไว้ในผ้าห่มเพื่อหลอกเจ้าหน้าที่ และการไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่และไม่พูดคุยตอบโต้เจ้าหน้าที่ก็เป็นแผนที่เขาวางเอาไว้ให้เจ้าหน้าที่ไม่สงสัยถ้าเขาจะเงียบไปในเวลากลางคืน (เพราะเขาเงียบมาทั้งวัน) สุดท้ายเขาก็ขุดพื้นเป็นอุโมงค์ลึกและหลบหนีไปได้สำเร็จ เป็นการหลบหนีเป็นครั้งที่ 4 และเป็นครั้งสุดท้ายของเขา

หลังจากหลบหนีออกมานายชิราโทริได้พบกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง และเขาตัดสินใจที่จะเชื่อในตัวเจ้าหน้าที่อีกครั้ง แม้จะเคยถูกหักหลังมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม เขาได้เข้ามอบตัวโดยยื่นข้อต่อรองว่าเขาต้องได้รับการไต่สวนที่เป็นธรรม และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงครามโลก ทำให้อำนาจของผู้มีอำนาจในญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงระบบยุติธรรมด้วย 

ในที่สุดศาลก็พิจารณายกเลิกโทษประหารชีวิตของเขาหลังเห็นว่าการฆ่าเจ้าของสวนมะเขือเทศนั้นเป็นการป้องกันตัว ประกอบกับการลดโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับเขาด้วย โดยนายชิราโทริถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 20 ปี ที่โตเกียว ในคุกที่โตเกียวครั้งนี้ความเป็นอยู่ของนักโทษแตกต่างจากคุกในช่วงก่อนสงครามเป็นอย่างมาก เขาได้รับการปฏิบัติอย่างดี และไม่คิดแหกคุกออกมาอีก สุดท้ายเขาก็ได้ถูกลดหย่อนโทษเรื่อย ๆ จนมีอิสระอย่างแท้จริงในวัย 54 ปี ก่อนจะเสียชีวิตจากโรคหัวใจวายในวัย 72 ปี เป็นการปิดตำนาน พ่อมดอัจฉริยะแห่งการแหกคุก ทิ้งไว้แต่ตำนานเรื่องเล่า และรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริจังหวัดฮอกไกโด และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง ที่ทุกคนจะต้องแวะเวียนไปเพื่อฟังตำนานการแหกคุกของเขา …

ในโลกที่ทุกคนล้วนไขว่คว้าและแย่งชิงสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเอง จนบางครั้งเราก็หลงลืมไปว่าความสุขคืออะไร บางครั้งสิ่งว่างเปล่าที่เราไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยอย่าง “อิสรภาพ” นั้นก็เป็นความสุขที่สุดของใครบางคนบนโลกใบเดียวกันนี้ ที่เขาต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะได้มันมา …

อ้างอิงข่าวจาก japantimes , breakingasia

ติดตามบทความใหม่เกี่ยวกับเรื่องน่ารู้และเรื่องแปลก ๆ ของประเทศญี่ปุ่นทาง LINE TODAY: TOP PICK TODAY จากผมได้ทุกวันเสาร์นะครับ

ช่องทางการติดตามเพิ่มเติม

Facebook :Eak SummerSnow

Youtube : Eak SummerSnow

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0