การจลาจลในสหรัฐฯ ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่าย ๆ เสียแล้ว กลับลุกลามบานปลาย ไปในหลายเมือง และ อีกหลายรัฐ จนขณะนี้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง ผู้ชุมนุม ได้แล้ว ล่าสุดทางด้าน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงถึงกรณีที่เกิดการประท้วงในหลายรัฐทั่วประเทศ ว่า ภายหลังเกิดการชุมนุมในพื้นที่ต่างๆ ทางเจ้าหน้าที่ยังคงเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเกือบ 1 สัปดาห์ โดยจะส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ เข้าบังคับใช้กฎหมายหยุดยั้งการก่อจลาจล
ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้บอกว่าขณะนี้ได้เกิดการจลาจล ปล้น ชิง และทำลายทรัพย์สิน ทำลายสถานที่ต่างๆ เช่น ในกรุงวอชิงตัน เกิดเหตุการณ์อย่างป่าเถื่อน ซึ่งเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นความอัปยศโดยสิ้นเชิง ขอให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ใช้กำลังควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว หากเมืองหรือรัฐใดไม่ดำเนินการมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวเมือง ตนจะส่งทหารรัฐบาลกลาง เข้าไปแก้ปัญหาแทน โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายการก่อจลาจล ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีส่งทหารไปปราบปรามการก่อความไม่สงบของพลเมือง และขอประณามการก่อเหตุร้ายในประเทศ
ขณะที่ทางด้านพล.อ.อ.โจเซฟ เลงก์เยล ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ เปิดเผยว่า ได้เรียกกำลังเข้าประจำการมากขึ้นกว่าปกติหลายเท่า นับตั้งแต่มีการก่อเหตุจลาจล เพื่อควบคุมสถานการณ์และฟื้นฟูความสงบ จากเหตุรุนแรง
สำหรับการส่งกำลังทหารเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ในแต่ละรัฐนั้นขณะนี้ก็ถูกผู้ว่าการรัฐบางรัฐออกมาต่อต้าน และให้ข้อมูลว่า รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจส่งกองทัพเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลท้องถิ่นก่อน
หากดูข้อกฎหมายแล้ว สหรัฐฯ มีกฎหมายการจลาจล ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนั้นไม่จำเป็นต้องผ่านการเห็นชอบของผู้ว่าการรัฐฯ ซึ่งกฎหมายการจลาจลผ่านความเห็นชอบจากสภาคองแกรสเมื่อปีค.ศ. 1807 เพื่อให้ประธานาธิบดีสามารถเรียกกองทัพออกมาปกป้อวงประเทศจาก การโจมตีของชาวอินเดียนแดง ก่อนที่กฎหมายจะถูกขยายให้อนุญาตใช้กองทัพเพื่อยุติความไม่สงบในประเทศ
ดังนั้นทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถที่จะใช้ กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) ซึ่งเป็นกองกำลังทหารสำรองของสหรัฐฯ สามารถเข้าแทรกแซงโดยไม่ได้ขออนุญาตจากทางการรัฐได้
