โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

โฉมใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ทดสอบ! AUDI Q7 FACELIFT 45TDi QUATTRO S LINE

ไทยรัฐออนไลน์ - Auto

อัพเดต 02 มิ.ย. 2563 เวลา 03.27 น. • เผยแพร่ 02 มิ.ย. 2563 เวลา 03.00 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

กว่า 40 ปีที่ผ่านมา Quattro กลายเป็นสัญลักษณ์และตำนานของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ระดับเทพมาโดยตลอด จนมาถึง Q7 ที่เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรแห่ง SUV (ว่ากันไปนั่นเลยทีเดียว) เป็นรถที่ดูสง่าผ่าเผย ภายในโอ่โถงหรูหราเพียบพร้อมไปด้วยของเล่นไฮเทค ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องโดยสารและความสบายเนื้อสบายตัว จากไดนามิกที่ถูกปรับแต่งมาเป็นอย่างดี มันเป็นรถที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามีสถานะทางการเงินเหนือกว่าเพื่อนบ้าน (ซึ่งก็ไม่เสมอไปหากข้างบ้านคุณเค้าขับ Bentayga W12) พูดง่ายๆ ก็คือ Q7 เป็นศูนย์รวมของความอเนกประสงค์ ทุกองคาพยพของมันออกแบบมาเพื่อการขับเคลื่อนท่ามกลางความสะดวกสบายที่ต้องจ่ายในราคา 4.8-5.2 ล้านบาท

Q7 ใหม่ตัวปรับโฉม Facelift 2020 รุ่น 45TDi Quattro S Line ราคา 5,299,000 บาท มาพร้อมหน้าตาใหม่ที่ดุดัน กระจังหน้าแบบใหม่เพิ่มลูกเล่นด้วยการตัดเส้นโครเมียมแนวดิ่งที่ลงตัว ชุดกระจังทำจากพลาสติกมีช่องรับอากาศเล็กๆ เพื่อนำลมเย็นไประบายความร้อนในห้องเครื่องยนต์ กันชนหน้าใหม่มีส่วนทำให้ด้านหน้าของรถดูเคร่งขรึมมากกว่าเดิม ไฟหน้าเปลี่ยนใหม่หันมาใช้ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED Headlights Technology เป็นออปชั่นที่ Audi Thailand ใส่มาให้แบบไม่ได้ชาร์จเงินลูกค้า ไฟหน้าระบบอัตโนมัติ HD Matrix LED Headlights Technology ใช้หลอด LED 24 หลอด ต่อไฟหน้า 1 ข้าง เพื่อรองรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครอบคลุมและปรับมุมของแสงเพื่อเพิ่มระยะของการมองเห็นในที่มืด ช่วยลดมุมอับของแสงไฟขณะขับเคลื่อนอยู่ในโค้งหรือเคลื่อนที่ผ่านทางแยก ลดหรือยกไฟสูงแบบอัตโนมัติ HD Matrix LED Headlights Technology กลายเป็นระบบไฟที่ก้าวล้ำสุดๆ ในปัจจุบัน เทียบเคียงกำลังในการส่องสว่างของ Multi Beam LED ใน Mercedes-Benz ยุคใหม่ได้อย่างสบายๆ HD Matrix LED Headlights Technology ให้กำลังในการส่องสว่างไกลเกือบๆ 700 เมตร มาพร้อมฟังก์ชั่นปรับตั้งขณะขับขี่ท่ามกลางหมอกลงจัดหรือฝนตกหนัก รวมถึงสภาพการณ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น

ไฟหน้า HD Matrix LED Headlights Technology ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย ให้ประสิทธิภาพในการส่องสว่างสูง รวมถึงยังประหยัดพลังงานไม่กินกระแสไฟจากแบตเตอรี่มากจนเกินไป การออกแบบให้ตัวโคมไฟมีขนาดกะทัดรัดส่งผลให้ไฟหน้าของ Q7 45TDi Quattro S Line มีรูปทรงที่เรียวบาง เข้ากับระบบอากาศพลศาสตร์ของตัวรถ ในส่วนของไฟ LED Daytime Running Lights ออกแบบให้วางตัวเรียงอยู่ด้านล่างและทำงานเชื่อมต่อกับไฟเลี้ยว

สำหรับไฟท้าย LED ทรงยาวแบบใหม่ มาพร้อมชุดสะท้อนแสงแบบ 3D Glass วางตำแหน่งของเส้นไฟที่สอดรับกับไฟ LED Daytime Running Lights นอกจากจะเพิ่มมุมมองให้มีความชัดเจนมากขึ้น ไฟท้ายของ Q7 ยังมีความสวยงามลงตัวจากเส้นโครเมียมสีเงินยวงคาดกลางเชื่อมต่อไฟท้ายทั้งสองข้าง ฝาท้ายไฟฟ้าเปลี่ยนทรงใหม่เพื่อให้เข้ากับรูปแบบของไฟหลังใหม่เช่นเดียวกัน ส่วนกันชนหลังเปลี่ยนใหม่ มีแผงปิดสีเทาพร้อมตำแหน่งของท่อระบายไอเสียทรงเหลี่ยมที่ออกแบบได้ดี ทำให้ส่วนท้ายของมันดูสง่าผ่าเผยมากยิ่งขึ้น 

มิติตัวถังของ Audi Q7 Facelift เวอร์ชั่นดีเซล รหัส 45TDi Quattro S-Line มีความกว้าง 1,968 มิลลิเมตร ยาวเหยียดมากถึง 5,052 มิลลิเมตร ส่วนความสูงอยู่ที่ 1,741 มิลลิเมตร ไม่สูงมากจนต้องใช้คำว่าตะกายขึ้นรถ ความยาวฐานล้อ วัดจากดุมล้อหน้าไปหลัง 2,994 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างล้อหน้าอยู่ที่ 1,697 มิลลิเมตร ล้อหลัง 1,691 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องพอจะลุยทางโหดๆ ได้บ้างแบบพอหอมปากหอมคอที่ 220 มิลลิเมตร

สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจก็คือน้ำหนักตัวรถทั้งคันเฉียดๆ 2,000 กิโลกรัม Audi พยายามปรับลดน้ำหนักตัวของ Q7 Facelift เพื่อทำให้เอสยูวีของค่ายตัวเองเบากว่าคู่แข่งอย่าง BMW X5 xDRIVE 30d และ Mercedes Benz GLE350d ถึง 200 กิโลกรัม! น้ำหนักตัวรถทั้งคันหนักกว่า Fortuner นิดเดียว แต่มีม้ามากถึง 249 ตัว พร้อมแรงบิดระดับ 600 นิวตันเมตร อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักจึงอยู่ในระดับที่พอดิบพอดี

Audi Q7 45TDi Quattro S-Line ใช้ล้ออะลูมิเนียมขนาด 21 นิ้ว พอดิบพอดีกับซุ้มล้อที่ทั้งกว้างทั้งใหญ่ สำหรับล้อและยาง Audi Q7 Facelift 45TDi quattro S-Line ราคา 5,299,000 บาท ยัดอัลลอย Audi Sport ลาย 5 ก้านคู่ ขอบ 21 นิ้ว ขนาด 9.5J x 21 ห่อรัดด้วยยาง continental sport contact 5 suv ขนาด 285/40 R21 ทั้งสี่ล้อ พร้อมยางอะไหล่แบบไซส์เล็กที่อยู่ใต้ฝาปิดห้องเก็บสำภาระท้าย

ระบบกันสะเทือนในรุ่นดีเซล จากรุ่นที่แล้วซึ่งเคยเป็นโช้คและสปริงแบบธรรมดาสามัญที่เซตมาอย่างลงตัวสุดๆ พอมาถึงรุ่นปรับโฉม Facelift 2020 กันสะเทือนของมันถูกเปลี่ยนมาเป็นการติดตั้งโช้คอัพและสปริงแบบถุงลม หรือ Air Suspension เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ทำงานในระบบ Adaptive สามารถปรับหรือลดระดับความสูงได้อย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่ระดับความสูงจะปรับตัวเองแบบอัตโนมัติไปตามโหมดของการขับเคลื่อน 6 รูปแบบ (Comfort / of road / All Road / Auto / Dynamic / Individual) ในส่วนของระบบเบรก เนื่องจากมีน้ำหนักตัวมากถึง 2 ตัน เบรกหน้าของ Q7 เป็นแบบ 6 พอต คาร์ลิปเปอร์อะลูมิเนียมสีเทาไม่มีการพ่นสัญลักษณ์ที่คาร์ลิปเปอร์ เบรกโคตรดีแม้จะมีน้ำหนักตัวน้องๆ ช้างพลาย!

ห้องโดยสารที่เรียบง่ายแต่หรูหราของ Q7 Facelift รุ่นดีเซลที่จำหน่ายในประเทศไทยโดนตัดออปชั่นออกไปพอสมควร เพื่อทำให้ราคาของมันสามารถแข่งขันกับเจ้าตลาดเอสยูวีหรูอย่าง X5 30d และ GLE350d แดชบอร์ดวางต่ำแหน่งต่ำลงเพื่อไม่ทำให้ดูใหญ่โตจนน่าเกลียด พวงมาลัยทรงสามก้านหุ้มหนังนั้นยอดเยี่ยมทั้งวัสดุและการปรับทิศทางของพวงมาลัยที่ค่อนข้างครอบคลุม ภายในห้องโดยสารตกแต่งอย่างดี แต่ก็ควรจะดูแลเรื่องความสะอาดกันให้บ่อยครั้ง เนื่องจากโทนสีของเบาะ คอนโซล และแผงประตู รวมถึงพรมปูพื้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน เบาะหุ้มหนังนั่งนุ่มสบาย เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 2 ตำแหน่ง พวงมาลัยปรับ 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า 

Q7 ดีเซล รุ่นปรับโฉมประจำปี 2020 เปลี่ยนชุดหน้าจอใหม่หมดเพื่อลดภารกรรมในการควบคุม ระบบ MMI Radio plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch) Multi-Media Interface ขนาด 8.8 นิ้ว (เล็กกว่าจอภาพของ Q8) สั่งงานด้วยเสียงเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด หรือสั่งงานด้วยการใช้นิ้วแตะที่หน้าจอ ระบบ Audi smartphone interface ส่วนจอภาพของระบบปรับอากาศและการควบคุมด้วยการเขียน เป็นจอควบคุมมัลติฟังก์ชั่นแบบสัมผัสพร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี

สำหรับมาตรวัด รุ่นที่ Audi Thailand นำเข้ามาจำหน่ายไม่มีมาตรวัดจอภาพแบบ virtual cockpit เนื่องจากต้องการทำราคา 5.2 ล้านบาท หากใส่จอภาพมาตรวัดแบบดิจิตอล ต้องเพิ่มอีก 3 แสนกว่าบาท อาจทำให้ราคาของมันพุ่งสูงจนไม่สามารถแข่งขันกับ X5 และ GLE เนื่องจากเป็นรถนำเข้าทำให้โดนภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ออปชั่นบางอย่างจึงถูกตัดออกไปเพื่อการทำราคานั่นเอง มาตรวัดแบบเข็มอ่านค่าได้ง่าย แม้จะไม่สวยงามทันสมัยเท่ากับมาตรวัด TFT ใน virtual cockpit ของ Q8 แต่ใช้งานได้สะดวก จอแสดงผล MID multi information display แจ้งข้อมูลที่สำคัญในการขับเคลื่อน สามารถเลือกฟังก์ชั่นการแสดงผลได้อย่างหลากหลายและครอบคลุม 

ขับ Audi ทีไรก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมกับงานดีไซน์ซุ้มคันเกียร์ Audi ออกแบบสวยงามอลังการ ใช้วัสดุที่มีคุณภาพเพื่อทำให้ดูหรูหราน่าใช้งาน คันเกียร์คล้ายการนำเอาคันเร่งของเรือยอชต์มาตกแต่งบนงานหัวเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นหัวเกียร์หุ้มหนังสีดำ สวิตช์กดข้างคันเกียร์และตำแหน่ง Trip-Tronic หลังคันเกียร์หรูๆ เป็นที่อยู่ของสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าและสวิตช์ auto brake hold ช่วยเพิ่มความสะดวกเมื่อขับท่ามกลางสภาพการจราจรที่คับคั่ง Audi ยังเอาใจคนนั่งข้างๆ ด้วยการติดตั้งปุ่มปรับระดับเสียงและเลือกแทรคจากระบบเสียงของ Bose 3D sound system Surround Stage พร้อมปุ่มควบคุมของระบบ MMI ระบบ MMI ใน Audi ทุกรุ่นเป็นระบบสั่งงาน Cockpit เสมือนจริงที่ใช้งานได้ง่าย แต่ Q7 Facelift รุ่น 45TDi ไม่มีจอภาพมาตรวัดแบบ TFT หรือที่เรียกว่า Virtual Cockpit แต่เป็นมาตรวัดแบบเข็มทั้งมาตรวัดรอบและวัดความเร็วโดยมีจอ MID - multi information display อยู่ตรงกึ่งกลางของมาตรวัดทั้งสอง คอยแจ้งข้อมูลของระบบต่างๆ แทน!

เบาะผู้โดยสารตอนหลังพับได้อย่างหลากหลายเพื่อเพิ่มความอเนกประสงค์ในการขนสัมภาระชิ้นโตๆ เมื่อพับเบาะหลังลงราบกับพื้นก็จะเพิ่มพื้นที่ความจุได้มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ความจุจาก 890 ลิตรจะเพิ่มเป็น 2,075 ลิตร สามารถขนกระเป๋าใบยักษ์ ถุง Golf หรือแม้แต่จักยานเสือหมอบไซส์โตๆ ได้อย่างสบายๆ แต่ก็ต้องเสียพื้นที่โดยสารของเบาะหลังทั้งหมด

Audi Q7 Facelift 45TDi Quattro S-Line วางเครื่องยนต์ดีเซล V6 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Commonrail Direct Injection ขนาด 3.0 ลิตร 2,967 ซีซี พ่วงด้วยชุดอัดอากาศแบบไบเทอร์โบ โดยใช้หลักการเทอร์โบ 1 ตัวอัดอากาศฝั่งละ 3 กระบอกสูบ ส่วนความกว้างกระบอกสูบอยู่ที่ 83.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 91.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.0 : 1 กำลังสูงสุด 249 แรงม้า ที่ 2,910-4,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,500-3,000 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา quattro permanent all-wheel drive ความจุถังน้ำมัน 85 ลิตร สมรรถนะ เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อ Tiptronic ZF 8 speed พร้อมกลไก Quattro กับการเชื่อมต่อการทำงานกับชุด Auto Start/Stop กระจายแรงบิดผ่านกระบวนเฟืองสุริยะ หรือ Planetary Gear ระบบ Quattro ใน Q7 ทำงานด้วยกลไกเฟืองต่างขนาดควบคุมด้วยสมองกลอิเล็กทรอนิกส์ ในสภาวะของการขับแบบปกติ Quattro จะกระจายกำลังแรงขับเคลื่อนไปที่ล้อหน้าและล้อหลังในอัตราส่วน 40/60 พร้อมส่งแรงบิดไปที่ล้อหน้าได้อย่างอิสระมากถึง 70/30 หรือส่งแรงบิดไปที่ล้อหลังได้ถึง 85% (หน้า 15% หลัง 85%) การกระจายแรงบิดในลักษณะดังกล่าวมอบสัมผัสที่มั่นคงและเต็มไปด้วยความเสถียรเมื่อต้องวิ่งผ่านผิวถนนที่มีความหลากหลาย

ระบบรองรับของ Q7 Facelift 45TDi เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของรถรุ่นนี้ จากรุ่นก่อนปรับโฉมที่ใช้ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบนปีกนกคู่อัลลอย ส่วนด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ พอเป็นรุ่นปรับโฉม Facelift มีการนำช่วงล่างแจ่มๆของ Q7 55TFSi มาให้ใช้งาน นั่นก็คือ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมหรือ Air suspension ปรับยกระดับความสูงของตัวรถได้ จุดเด่นของช่วงล่างใน Q7 ใหม่ก็คือ วิศวกรของ Audi ที่ลงมือลงแรงเซตปรับตั้งค่ายืดยุบของโช้คอัพถุงลมนั้นปรับแต่งการทำงานมาดีมากและครอบคลุมการขับบนสภาพถนนที่มีความหลากหลาย การปรับแต่งที่ถูกจริตทำให้ช่วงล่างของรถรุ่นนี้มีประสิทธิภาพที่ดีมาก ช่วงล่างแบบ Air suspension จะยกหรือลดความสูงแบบอัตโนมัติไปตามโหมดการขับหรือตามสภาพถนน ระบบรองรับใน Audi Q7 45TDi Quattro S-Line ใช้กันสะเทือนแบบ Five Link ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แขนยึดผลิตจากอะลูมินั่มอัลลอย เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินใต้สปริง ติดตั้งโช้คอัพไฟฟ้ามาพร้อมชุดควบคุม CDC continuous damping control เป็นอุปกรณ์มาตรฐานไม่ต้องควักเงินเพิ่มแต่อย่างใดทั้งสิ้น ระบบ Adaptive Suspension ใช้ถุงลมปรับระดับความสูง-ต่ำของตัวรถได้อย่างหลากหลายเพื่อขับเร็วๆ บนไฮเวย์หรือลุยทางวิบาก ช่วงล่างแบบ Adaptive Air Suspension ของ Q7 มีระยะความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 220 มิลลิเมตร สามารถปรับยกหรือลดระดับได้ตามใจชอบ หรือระบบจะปรับตั้งแบบอัตโนมัติไปตามโหมดการขับเคลื่อนทั้ง 6 โหมด ตามรูปแบบของการขับขี่ ในโหมด Lift-off Road ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วงล่างจะปรับระดับโดยยกความสูงขึ้นอีก 50 มิลลิเมตร และจะปรับเตี้ยลงโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วเพิ่มขึ้นบนทางเรียบเพื่อลดแรงต้านของอากาศและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลดอาการโคลงตัว ที่เจ๋งก็คือ เมื่อขับออกจากถนนเรียบเข้าสู่เส้นทางออฟโรดและคนขับไม่ได้ทำการปรับโหมด ความแสนรู้ของเซนเซอร์ที่คอยตรวจจับแกนของรถจะเข้าสู่โหมดออฟโรดให้เองแบบอัตโนมัติ! 

เมื่อนำเจ้าเรือเดินสมุทรเอสยูวีคันโตออกทางไกลแบบโลดโผนโจนทะยาน โหมด Auto ของ Q7 กลายเป็นโหมดมาตรฐานที่ผมเลือกเปิดใช้งานเป็นโหมดแรก ทุกอย่างเพื่อการทำความเร็วในลักษณะตั้งรับ มีทั้งลูกบู๊แบบจัดเต็มกับความสบายของระบบรองรับ ในยุโรป เมื่อขับเร็วกว่า 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (บนออโตบาร์น) ระบบจะปรับลดความสูงของช่วงล่างแบบ Adaptive Suspension ลงอีก 40 มิลลิเมตร จากความสูงมาตรฐาน นอกจากจะปรับระดับความสูงไปตามความเร็วที่ใช้แล้ว ขณะที่รถจอดแล้วกดเปิดฝาท้าย ระบบ Air Suspension จะปรับให้การขนถ่ายสัมภาระที่ฝาท้ายมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยช่วงล่างจะลดความสูงลงอีก 65 มิลลิเมตร แบบท้ายห้อย ทำให้ไม่ต้องออกแรงเพื่อยกของหนักใส่ท้ายรถที่สูงเกินอีกต่อไป และเมื่อกดสวิตช์ปิดฝาท้าย ความสูงของท้ายรถจะยกกลับขึ้นที่เดิมอย่างนิ่มนวล 

Q7 ดีเซล เป็นรถที่มีความสุดยอดในหลายด้าน เริ่มจากขนาดตัวถังที่ใหญ่โตโอ่โถงสะดวกสบายและเงียบ ระบบขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งเครื่องยนต์ดีเซลกับเกียร์ 8 สปีด ผนวกกับช่วงล่างถุงลมที่ถูกจูนมาอย่างดีจากมืออาชีพซึ่งมีความเข้าอกเข้าใจไดนามิกที่ดีของการขับขี่ สำหรับบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการขับอย่าง Audi ทุกอย่างต้องดีกว่าเสมอ หลังจาก Q7 รุ่นก่อนปรับโฉมทำตลาดได้ดีและได้รับความนิยมจากลูกค้าไทยพอสมควร การเปิดตัว Q7 ใหม่ท่ามกลางสถานการณ์ของการแพร่ระบาดจากไวรัสโควิดทำให้ Audi Thailand ต้องปรับเปลี่ยนแผนงานประจำปีใหม่หมด Q7 รุ่นที่ผ่านมาประสบความสำเร็จจากเสียงตอบรับของลูกค้าที่บรรยายถึงการขับขี่ที่สุดยอดของมัน จากการที่เป็นรถเอสยูวีคันใหญ่ หน้าตาทันสมัยพร้อมอุปกรณ์ภายในที่เน้นความหรูหราเพื่อจับลูกค้ามหาเศรษฐี แม้จะมีขนาดเท่ากับ New X5 และ New GLE แต่ Audi สวยดุกว่าในด้านของหน้าตาที่เอาจริงเอาจังกับตัวถังสีน้ำเงิน  กระจังหน้าทรง 8 เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่โดนใจคนรุ่นใหม่ Audi พยายามวางตำแหน่งของ Q7 ให้มีการขับที่ใกล้เคียงกับรถรุ่นพี่อย่าง Porsche Cayenne ด้วยระบบขับเคลื่อน แชสซีและอุปกรณ์ภายในยุคใหม่ของแบรนด์ 4 ห่วง ราคา 5.29 ล้านบาทของมันก็ยังถูกกว่า Porsche Cayenne รุ่นต่ำสุดอีกด้วย  

แน่นอนว่ารถรุ่นใหม่ก็ต้องมาพร้อมกับห้องโดยสารแบบใหม่ล่าสุดเสมอ และเมื่อเข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับคุณจะพบกับอารมณ์คอนเซปต์คล้ายรถยนต์ในนิยายวิทยาศาสตร์ แดชบอร์ดคอนโซลยกมาทั้งยวงจาก Q8 ยกเว้นมาตรวัดที่ยังใช้แบบเข็มทั้งวัดรอบและวัดความเร็วโดยมีจอ MID ตรงกลางคอยแจ้งรายละเอียดและข้อมูลของการขับ (ไม่มีเนวิเกเตอร์มาให้) จอทัชสกรีนขนาด 8.8 นิ้ว แบบ Touch Duo แบบสองจอภาพทำให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น เวลาแตะสั่งงานจะมีสัมผัสเบาๆที่นิ้วเพื่อบ่งบอกว่าระบบรับรู้ถึงการกดเบาๆเพื่อสั่งให้จอดเข้าสู่เมนูหรือฟังก์ชั่นตามต้องการ นอกเหนือไปจากนั้น ห้องโดยสารของ Q7 ใหม่ให้อารมณ์ภายในของ Q8 ล้วนๆ มันอาจทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากกว่าปกติ ความรู้สึกถึงตำแหน่งของเบาะคนขับที่ลงตัวกับการใช้อุปกรณ์ พวงมาลัย S Line Black Edition ผอมเรียวแต่จับกระชับมือดีมาก คุณภาพผ้าและวัสดุต่างๆกับความประณีตของการสัมผัสยังคงให้ความคุ้นเคยตามแบบฉบับของรถเอสยูวีเกรดพรีเมียม 

ใช้เวลาไม่นานคุณจะเริ่มชอบ Q7 ดีเซลรุ่นปรับโฉม! ความแตกต่างหลักๆ ของหน้าใหม่ไล่เรียงจากไฟหน้า กระจัง กันชน ช่องระบายอากาศและช่องรับลมที่ชุดกระจัง รถทดสอบคันนี้ถูกพ่นด้วยสีน้ำเงิน Navarra blue metallic เบอร์ 2D2D งานพ่นอย่างเนี้ยบทำให้สีตัวถังของ Q7 Facelift มีความใกล้เคียงกับงานพ่นสีขั้นสุดยอดของ Lexus ล้อสีเงินลาย 5 ก้านคู่ขอบ 21 นิ้ว เป็นตัวท็อปของรุ่นเครื่องยนต์ V6 ดีเซลเทอร์โบ ซึ่งมีเรี่ยวแรงถึง 250 แรงม้า กับแรงบิดเหลือๆ ที่ 600 นิวตันเมตร ซึ่งมาในรอบต่ำอย่างเหลือเชื่อ แรงบิดโผล่มาตั้งแต่ 1,350 รอบต่อนาที ไหลไปจนถึง 4,000 รอบต่อนาที แต่ไม่ต้องออกแรงฝ่าเท้าเพื่อลากรอบกันขนาดนั้นเพราะแค่ 1,300 รอบต่อนาทีแรงบิดก็ไหลออกมาให้ใช้อย่างลื่นไหล เสียงเครื่องยนต์ดีเซลแทบไม่ได้ยิน จากการเก็บเสียงในระดับที่ยอดเยี่ยมของรถรุ่นนี้ คนขับและคนนั่งสามารถผ่อนคลายจากความสงบเงียบของห้องโดยสาร ท่ามกลางบรรยากาศของเจ้าทวินเทอร์โบดีเซลคันนี้ นอกไปจากนั้น พวงมาลัยในทุกโหมดก็ไม่ได้ขอร้องให้คุณต้องออกแรงหมุนมากจนเกินไป คุณภาพของการขับในย่านความเร็วสูงแทบไม่แตกต่างไปจากรถรุ่นพี่อย่าง Q8 มีอะไรบางอย่างในระบบขับเคลื่อนที่ทำให้ผมรู้สึกว่า Q7 รุ่นนี้สามารถพุ่งทะยานออกตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะมีน้ำหนักตัวเยอะแต่แรงบิดก็เยอะตามทำให้เกิดความคล่องตัวไม่ว่าจะขับไปเรื่อยๆ หรือขับเร็วจี๋ใน Dynamic Mode 

หลังจากวิ่งขึ้นลงเนินยาวๆ กับโค้งแคบๆ ของทางหลวงชนบทหมายเลข 3460 ตามถนนเส้นนี้ที่เชื่อมต่อกับอ่างเก็บน้ำลำตะเพิน จู่ๆ ผมก็ขึ้นมาอยู่ตรงจุดเกือบสูงสุดของขอบอ่างที่มองลงไปเห็นตัวอ่างเก็บน้ำมีน้ำเหลืออยู่น้อยเต็มทนในช่วงต้นฤดูฝนแต่อีกไม่นานก็น่าจะมีน้ำมากขึ้นจากปริมาณของฝนที่ตกกระหน่ำแทบจะวันเว้นวัน หลังจากนั้นก็วกหัวมุ่งหน้าไปตามเส้นทางอุทยานแห่งชาติพุเตย Dynamic Mode ปรับระดับความสูงลดลงโดยอัตโนมัติเพื่อให้สอดรับกับการขับเร็ว ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ เกียร์ 8 สปีด ช่วงล่าง และพวงมาลัย ช่วงล่างถุงลมจากที่เคยย้วยๆ ใน Comfort Mode เพื่อความสบายก็เปลี่ยนอารมณ์มาเป็นกระชับและรัดกุม หนึบขึ้น แข็งขึ้นนิดๆ แต่ขับเร็วแล้วเหมาะสมกับความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกับรถ พวงมาลัยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและตอบสนองต่อการหักเลี้ยวได้อย่างเฉียบคม ในโหมดสูงสุด Q7 ตอบสนองได้อย่างฉับไวทุกครั้งที่กดคันเร่ง การควบคุมอาการของตัวถังทำได้ดี (มาก) เบรกส่งน้ำหนักอย่างละเอียดละออทำให้กะน้ำหนักในการใช้ฝ่าเท้ากดลงไปง่ายขึ้นมาก การถ่ายเทน้ำหนักขณะเบรกก็ดี และมีประสิทธิภาพเหลือเฟือในการหยุดยั้ง ขอแค่ไม่บ้าจนเกินงามยังไงก็เบรกอยู่ล่ะครับ  

ถึงจะมีมิติที่ใหญ่โตและมีมวลน้ำหนักเยอะ แต่แชสซีและช่วงล่างของมันจัดการกับองคาพยบทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด วิศวกรของ Audi แสดงฝีไม้ลายมือในการเซ็ตรถให้เป็นที่ประจักษ์ Q7 รุ่นใหม่สามารถรักษาประสบการณ์ของการขับขี่แบบเดิมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แน่นอนว่ารุ่นย่อมเยาว์ที่ถูกนำเข้ามาขายเพื่อทำราคาให้สามารถต่อสู้กับรถเอสยูวีของคู่แข่งมีการตัดออฟชั่นราคาแพงออกไปเพื่อกดค่าตัวไม่ให้แพงจนจับต้องลำบาก หลังจากวิ่งลิ่วๆ ไปทางพุเตยจนสาแก่ใจ ผมวกรถกลับไปทางอ่างเก็บน้ำห้วยองคตเพื่อเก็บภาพขณะทดสอบ ทัศนียภาพแถบนั้นอุดมไปด้วยภูเขาป่าทึบและไร่นาของชาวบ้าน ผ่านไป 300 กิโลเมตร เจ้า Q7 ดีเซลก็ยังไม่ได้แสดงจุดด้อยออกมาให้เห็น และนั่นก็คือความสำเร็จในการปรุงแต่งปรับตั้งเพื่อเสริมประสิทธิภาพของการขับ มันเป็นรถที่นิ่งและเกาะถนนเป็นอย่างมากเมื่อหวดด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง เครื่องยนต์ V6 ดีเซล ทวินเทอร์โบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกขณะทำงานเต็มกำลังแตกต่างไปจาก BMW และ Mercedes-Benz ด้วยซุ่มเสียงที่เงียบเป็นพิเศษ มันเป็นรถที่สามารถห้อได้อย่างเต็มเหยียดตั้งแต่เช้าจดเย็น  

ทุกครั้ง การนำรถ Audi ที่มีระบบขับสี่ Quattro ออกมาขับทางไกล ระบบขับเคลื่อนทุกล้อของแบรนด์ 4 ห่วงจะให้ความรู้สึกที่โดดเด่นจากคุณสมบัติหลักของระบบขับเคลื่อน ด้วยการใช้แชสซีร่วมกับรถเจ๋งๆ อย่าง Porsche Cayenne / Bentley Bentayga / Lamborghini Urus และ Volkswagen Touareg ประกอบกับระบบช่วงล่างถุงลม Air Suspension และเทคโลโลยีระบบไฟฟ้าใหม่ล่าสุดจาก Q8 ทำให้ Q7 Facelift สามารถโชว์ผลงานการวิ่งที่นวลเนียนน่าประทับใจ มันไต่เนินสูงด้วยกำลังที่เหลือเฟือ เร่งความเร็วอย่างนิ่มนวลแต่พุ่งลิ่วๆ แบบไม่ลดราวาศอกราวกับว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งการวิ่งของมันได้ (ยกเว้นระดับเชื้อเพลิงภายในถัง) ไม่ว่าเนินจะชันหรือลื่นขนาดไหน และเมื่อไหลลงเนินระบบหน่วงความเร็วก็จะเริ่มต้นการทำงานเพื่อควบคุมสปีดขณะแล่นลงทางลาดชันโดยไม่ต้องใช้เบรกให้มากเรื่อง โหมด off Road ทำการเฝ้าระวังและควบคุมแรงบิดกับระดับความสูงของตัวรถให้ทุกสิ่งทำงานสอดคล้องกันขณะขับฝ่าทางวิบาก มันนุ่มนวลราวกับพรมเปอร์เซียชั้นดี แต่นั่นก็หมายความว่าคุณจะไม่ได้โชว์ฝีไม้ลายมือบนเส้นทางขรุขระ เพราะระบบควบคุมองคาพยพของตัวรถจะเข้ามาจัดการให้ทุกอย่างอยู่กับร่องกับรอย 

จุดเด่นของ Q7 Facelift ก็คือ การเก็บเสียงที่ดีของมัน ห้องโดยสารที่ถูกผลึกมาเป็นอย่างดี ยางขอบประตูและกรอบกระจกอย่างหนาบวกกับวัสดุซับเสียงทำให้ห้องโดยสารของมันคล้ายกับบรรยากาศในหอสมุดแห่งชาติ นั่นก็คือ โคตรจะเงียบ วิ่งในเมืองแทบไม่ได้ยินเสียงรถราหรือมอเตอร์ไซค์รอบตัว พอขับออกทางไกลใช้ความเร็วสูงก็ยังเงียบใช้ได้ ยาง continental SUV ไซส์ 285/40R21 ทำหน้าที่ได้ดี มันให้การยึดเกาะที่ดีและมีเสียงดังรบกวนไม่มาก ซึ่งเกิดจากการออกแบบลวดลายดอกยางและส่วนผสมของเนื้อยางที่เน้นความนิ่มมากเป็นพิเศษ การรีดน้ำในย่านความเร็วที่เหมาะสมก็ถือว่าใช้ได้แค่ไม่ต้องมั่นใจในระบบขับเคลื่อน Quattro มากจนเกินไปเมื่อขับท่ามกลางสายฝน 

Q7 ใหม่ เป็นอะไรที่มีความลงตัวแทบจะทุกจุด (ถ้าคุณไม่บ่นเรื่องออปชั่นที่โดนหั่นออก) มันคือยานออฟโรดสำหรับตลาดรถพรีเมียมที่มีบางจุดเหนือกว่ารถคู่แข่งโดยเฉพาะอารมณ์ของการควบคุม เป็นมาตรฐานใหม่ของยานยนต์จากแบรนด์ Audi ที่ยากจะลอกเลียนแบบโดยเฉพาะการเซตช่วงล่าง การปรับปรุงทำให้มันเป็นรถที่น่าใช้คันหนึ่งในปีนี้ มีรูปทรงสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แน่นอนว่าผมอยากได้สักคันเอาไว้ขับไปทำงานและเดินทางท่องเที่ยวทางไกลในวันหยุดกับครอบครัว มันคือ Audi Quattro ในแบบที่นักขับชอบ ผมพยายามหาข้อด้อยของมันด้วยเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนาน 8 วัน แต่หาไม่เจอ! เป็นเอสยูวีคันโตที่ขับได้อย่างไร้ข้อติติง เป็นรถที่มีเทคโนโลยีของระบบขับเคลื่อนซับซ้อน แต่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย และคนในครอบครัวก็จะชอบความสบายที่มันมอบให้เมื่อขับออกทางไกล.
AUDI Q7 FACELIFT 45TDi QUATTRO S LINE

เครื่องยนต์ 9/10
เกียร์ 8/10
ช่วงล่าง และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 10/10
ความสุขสบายและเงียบสงบ 9/10
ออฟชั่น 6/10
การถ่ายเทน้ำหนักขณะเข้าโค้งหรือเบรก 8/10
อัตราเร่ง 9/10
ความสวยงาม 8/10
ความคุ้มค่า 7/10

Audi Q7 Technical data
Audi Q7 45 TDI quattro S line ราคา 5,299,000 บาท  
แบบเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ แบบ V
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง แบบฉีดตรง (direct injection),
ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ
จำนวนวาล์ว 24 วาว์ล
ปริมาตรกระบอกสูบ 2,967 ซีซี.
แรงม้าสูงสุด  183 กิโลวัตต์ 250 แรงม้า 2,910 -4,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,500-3,000 รอบต่อนาที
ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ tiptronic 8 จังหวะ 
ระบบขับเคลื่อน ขับเคลื่อนสี่ล้อ (quattro) 
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.9 วินาที 
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 225 กม./ชม.
ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Start/stop system)
พวงมาลัยไฟฟ้า 
เบรกหน้า ดิสก์เบรก คาร์ลิปเปอร์ 6 พอต 
เบรกหลัง ดิสก์เบรก 
พื้นที่เก็บสัมภาระ 865-2050 ลิตร
ความจุถังน้ำมัน 85 ลิตร
ล้อ 21 นิ้ว ขนาด 9.5J x 21 ยาง continental sport contact 5 suv ขนาด 285/40 R21 
ยางอะไหล่
มิติตัวถัง
กว้าง 1,970 มิลลิเมตร
ยาว 5,063 มิลลิเมตร
สูง 1,741 มิลลิเมตร
ความยาวฐานล้อ 2,995 มิลลิเมตร
ระยะห่างล้อหน้า 1,679 มิลลิเมตร
ระยะห่างล้อหลัง 1,690 มิลลิเมตร
โอเวอร์แฮงค์หน้า 977 มิลลิเมตร
โอเวอร์แฮงค์หลัง 1,091 มิลลิเมตร 
ระบบความปลอดภัย
Q7 45 TDI quattro S line
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร 
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง
ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย 
ระบบเบรกมือไฟฟ้า 
ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist) 
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) 
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic brake distribution) 
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction control system) 
ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic control system with stabilization function)
เซ็นเซอร์หน้า-หลังช่วยในการนำรถเข้าจอด 
กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด 
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก 
ชุดปฐมพยาบาล 
อุปกรณ์มาตรฐาน
ช่วงล่างระบบถุงลม (Adaptive air suspension)
ระบบเลือกโหมดการขับขี่ (Audi drive select) 
ชุดตกแต่งภายนอกแบบ S line 
กันชนตกแต่งด้วยสีเดียวกับสีภายนอกของตัวรถ 
ตกแต่งห้องโดยสารภายในด้วยลาย Silver grey diamond paint 
ไฟหน้าแบบ Matrix LED
ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED 
กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า และปัดน้ำฝนอัตโนมัติ 
กระจกมองข้างตัดแสงและปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่ง 
ความสะดวกสบาย
เบาะนั่งหุ้มหนัง
เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลัง และฟังก์ชั่น
บันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่
เบาะผู้โดยสารด้านหลังพับได้ 
พนักพิงของเบาะผู้โดยสารด้านหลังปรับเอนได้ 
ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 4 โซน 
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น แบบ 3 ก้าน พร้อม Paddle shift
ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise control) 
ม่านบังแดดที่กระจกประตูด้านหลังซ้าย-ขวา
พร้อมม่านบังแดดกระจกบังลมด้านหลัง 
กุญแจแบบ Comfort key พร้อมระบบเปิด-ปิดบานประตูท้าย
โดยไม่ต้องใช้มือ พร้อมแผ่นปิดสัมภาระท้ายรถแบบไฟฟ้า 
ระบบข้อมูลและความบันเทิง
Q7 45 TDI quattro S line
ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bose พร้อมระบบเสียง 3 มิติ 
ระบบ MMI Radio plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch)
ขนาด 8.8 นิ้ว
ระบบ Audi smartphone interface 
จอควบคุมมัลติฟังก์ชั่นแบบสัมผัสพร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว
จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสี
รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 
ช่องเชื่อมต่อ USB 
ไฟเรืองแสงในห้องโดยสารแบบปรับสีได้ (Contour/ambient
lighting)
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0