โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

โค้ชชีวิต (Coach for Life) - ศุ บุญเลี้ยง

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 01 ก.ค. 2563 เวลา 07.42 น. • ศุ บุญเลี้ยง

วันหนึ่งรุ่นน้องที่สนิทสนมกันมานาน  ชวนให้ไปร่วมฝึกอบรมการเป็นโค้ช หรือที่เขาเรียกกันว่า ‘Coach for Life’  อันเป็นศาสตร์ซึ่งต้องฝึกกันหลายวันกว่าจะสำเร็จเป็นไลฟ์โค้ชได้  ผมปฏิเสธเพราะไม่ได้อยากจะเป็นโค้ช แต่อยากได้โค้ช จึงชวนน้องคนที่ชวนผมไปเรียนนั่นแหละว่า “เรียนแล้วช่วยมาเป็นโค้ชให้ด้วย”

แล้วผมก็ได้รับการ Coaching

ไลฟ์โค้ชเป็นคนละเรื่องกับนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ (Motivator)  เหมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่ใช่รีเซฟชั่น และไม่ใช่พิธีกร ส่วนถ้านักประชาสัมพันธ์คนไหนเก่งจะเป็นพิธีกรด้วยก็ไม่ผิด เพียงแต่เราอย่าเข้าใจผิดคิดว่าพิธีกรคือนักประชาสัมพันธ์ อันนี้เข้าใจให้ตรงกันก่อน

สิ่งที่อยากบอกเล่าแลกเปลี่ยน เป็นสิ่งซึ่งสรุปคร่าวๆ มาให้  เป็นการอุปมาเพื่อให้เข้าใจใกล้เคียง จากคนซึ่งเคยมีประสบการณ์การได้รับการโค้ช (ไม่ได้ไปร่ำเรียนสำเร็จวิชาโค้ชมาเอง) 

สมมุติว่า ปัญหาชีวิตเปรียบเสมือนหลอดไฟซึ่งใช้งานมานาน

อุปมาว่า ถ้าหากผมอยากจะเปลี่ยนหลอดไฟ โค้ชจะไม่ได้มาเพื่อบอกผมว่าต้องทำยังไง แต่จะเริ่มต้นด้วยการซักถามว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยน มันไม่สบายตา มันแยงตา มันสว่างเกินไป หรือว่ามันสลัวอ่านหนังสือไม่ชัด ก็แล้วแต่คุยคุ้ยค้นกันจนสรุปว่าอยากเปลี่ยนแน่ใช่ไหม เพราะหลอดเดิมก็อาจจะดีอยู่แล้ว 

( มีหลายครา แม้หลอดเสียแต่ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะมีไฟจากหลอดอื่นทดแทนก็ได้ )

โค้ชที่ดีจะไม่บอกว่า งั้นก็เปลี่ยนสิ จะชักช้ารอหาอะไร 

แต่จะคุยกันว่า เราจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ดี อยากเปลี่ยนเลยเดี๋ยวนี้หรือรอวันหยุด

ใจน่ะอาจจะอยากเปลี่ยนเดี๋ยวนี้ แต่พอดีมีธุระอื่นจำเป็นกว่า  หลอดไฟใหม่ที่พอมีก็ไม่พอดีดั่งใจ ยังไม่อยากเสียเวลาออกไปหาซื้อหลอดประหยัดพลังงาน รอวันจะออกไปธุระทีเดียวดีกว่าไหม

โค้ชจะสื่อสารชวนเรามองหาว่า  ต้องการตัวช่วยหรือเครื่องมืออะไรในการเปลี่ยนแปลง  เช่น เราอยากได้ถุงมือ โค้ชอาจจะหามาให้ เราอยากได้บันได แล้วเราจะไปหาจากไหน เรากับโค้ชก็อาจจะไปยืมคนข้างบ้าน เราอยากได้ไขควงโค้ชอาจจะมีอยู่กับตัว

ที่สำคัญคือโค้ชจะไม่เปลี่ยนหลอดไฟให้เราแน่ๆ

โค้ชจะไม่ทำตัวเป็นครู ผู้ต้องคอยบอก คอยสอนสั่ง 

โค้ชที่ดี ซึ่งผ่านการฝึกอบรมมา จะไม่ชี้บอกเราว่า ควรทำอะไรก่อนหลัง แต่อาจจะช่วยจดหรือจำไว้ว่าหนก่อนเราคุยกันว่าจะทำอะไรบ้างแล้ว ได้ทำไปบ้างหรือยัง ถึงตอนนี้ เรายังต้องการความช่วยเหลืออะไร 

ท้ายที่สุดเราจะเป็นคนปีนบันไดเอาไขควงขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟจนสำเร็จด้วยตัวเราเอง

แล้วเราก็ไปนั่งฉลองดื่มกัน พร้อมกับคุยกันว่า เราอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตของเราอีกเพื่อจะได้ดีขึ้นหรือไม่แย่ไปยิ่งกว่านี้

 

นั่นคือการเปรียบเปรยถึงศาสตร์ของโค้ชชิ่ง ในความหมายซึ่งผมเคยเจอ

ไลฟ์โค้ชไม่ได้ทำตัวรู้ดีกว่าเราว่าเราต้องการอะไร  แต่โค้ชใช้เครื่องมือที่ศึกษามา ช่วยให้เราค้นพบและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น ตัดสินใจด้วยตัวเองนั่นแหละ แต่หลังจากมีคนมาช่วยในการขุดคุ้ยหรือค้นคว้ารอบคอบถี่ถ้วนดีแล้ว

เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่า ไม่ต้องการโค้ชชีวิตเพราะว่าชีวิตของเรานั้นจัดการได้เองอยู่แล้ว ก็คงเหมือนกับนักกีฬาที่บอกว่า ฉันเล่นเก่งอยู่แล้ว เป็นแชมป์อยู่แล้วจะไปเสียเวลาจ้างโค้ชมาให้เปลืองเงินทำไม  

โค้ชกีฬาอาจจะมีทักษะพิเศษของกีฬาชนิดนั้นๆ ถ่ายทอดให้เราวางกลยุทธ์ให้เรา  แต่ทักษะซึ่งไลฟ์โค้ชมี คือวิชาช่วยในการสื่อสารรับฟัง เพื่อขุดค้นรากของปัญหาชีวิตที่มนุษย์มักจะติดกรอบหรือติดกับอยู่ 

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าคนใดไม่ต้องการโค้ชชีวิตจะคิดผิด แค่อยากเล่าให้เข้าใจความเป็นโค้ชเพิ่มอีกนิดว่า เขาไม่ได้มาเพื่อบอกว่าเราควรจะทำอย่างไรกับชีวิต 

แต่โค้ชเข้ามาเป็นคนคู่คิด เพื่อให้เราดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ หากเก่งอยู่แล้วก็ช่วยพัฒนาส่วนแข็งให้แกร่งขึ้น ให้เก่งขึ้น หากมีจุดอ่อนก็มีคนคอยช่วยหาทางกำจัดส่วนนั้นเสีย

อ้าวแล้วทำไมไม่ใช้เพื่อน 

อันนี้ขอตอบสั้นๆว่า เพื่อนไม่ได้มีหน้าที่มาคอยแก้ปัญหาให้เรา และเพื่อนก็มีนิสัยของเพื่อน ถ้าเพื่อนคนนั้นไม่ยี่หระกับชีวิตคู่เพื่อนก็อาจจะบอกว่า ‘มึงจะกลุ้มทำห่าอะไร ไปหย่ากับแม่งเลย เดี๋ยวกูหาเมียใหม่ให้’ ส่วนเพื่อนอีกคนก็อาจจะบอกว่า ‘ทนๆ ไป ให้ลูกโตก่อน’ แล้วเราจะเชื่อใคร เพราะว่าสุดท้ายมนุษย์ก็มีเงื่อนไขเฉพาะตัว  ที่แม้แต่เพื่อนก็อาจจะไม่รู้ซึ้งเข้าไปถึงข้างใน  ได้แต่คอยปลอบใจ หรือให้กำลังใจ หรือไปเจอหน้ากันให้มันด่า แล้วเราสบายใจกลับมา แต่ปัญหายังอยู่เหมือนเดิม

 

ซึ่งโค้ชไม่ใช่ครูและไม่ใช่เพื่อน 

โค้ชยิ่งไม่ใช่ผู้นำศาสนาคอยบอกสาวกว่าต้องทำชีวิตเช่นไร ต้องถือศีล ต้องห้ามกินนั่นกินนี่ ไม่ใช่คนซึ่งมาชี้มาบอกให้เราทำอะไรเมื่อไหร่และอย่างไร อย่างที่คนซึ่งอาจเข้าใจวิชาโค้ชชิ่งคลาดเคลื่อน

พูดแบบนี้คุณอาจจะคิดว่า แล้วทำไมไม่รู้จักที่จะคิดเอง ทำเอง 

ก็ต้องแจงว่า บางครั้งเราคิดเองได้ไม่รอบด้าน เพราะว่าเราสับสนวุ่นวายกับชีวิต เรามีเรื่องราวเข้ามาในชีวิตมากมาย เรามีสถานภาพทับซ้อน เป็นพ่อ เป็นเพื่อน เป็นเจ้านายมีลูกน้อง มีศัตรู มีคู่แข่ง มีเพื่อนสนิท หรือมีญาติ มีสิ่งที่อยากทำ ควรทำ และมีหน้าที่ที่ต้องทำแม้ไม่อยากทำ

นั่นแหละทำให้เราจัดการกับชีวิตได้ยาก 

ถ้าคุณคิดว่าชีวิตจัดการได้ง่ายก็ไม่ต้องใช้โค้ช 

ติดตามบทความใหม่ ๆ จากศุ บุญเลี้ยง ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจศุ บุญเลี้ยง

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0