ผมเคยเป็นนักกีฬามาก่อนตอนเรียนอยู่โรงเรียนประจำ
จำได้ว่าตอนเป็นนักกีฬาสี จะมีรุ่นพี่คอยคุมซ้อมสอนทักษะกีฬา
ตอนเรียนวิชาพละศึกษา ครูจะคอยแนะบอกท่าบริหาร ให้วอร์มร่างกายและสอนกติกา หลังจากนั้นก็ปล่อยลงเล่นให้หมดเวลา ตอนสอบอาจจะมีให้สอบทักษะบางอย่างเช่น เดาะฟุตบอล ตีลังกา แล้วแต่ว่ากีฬาอะไร
แต่ครั้นขยับชั้นเป็นนักกีฬาโรงเรียน ครูพละจะกลายมาเป็นโค้ชคอยควบคุมการฝึกซ้อม
โค้ช ต่างจากครูตรงที่จะคอยบอกสอนกลยุทธ์บางอย่างในการทำคะแนน หรือกระทั่งเทคนิคการอุดประตูเมื่อนำคู่แข่ง บางครั้งเร้าพลังให้เราฮึกเหิมด้วยการเอารางวัลมาล่อ เช่น ถ้าชนะจะพาไปดูหนังทั้งทีม
โค้ชจึงไม่ใช่เพียงผู้สอนกติกาว่ากีฬาเล่นอย่างไร แต่พยายามจะมองหาจุดอ่อนจุดแข็งของนักกีฬาและทีมสร้างเสริมเติมกำลังมากไปกว่าแค่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อยังบ่มเพาะไปถึงหัวใจนักสู้และสปิริตของนักกีฬาเมื่อคราที่พ่ายแพ้บอบช้ำกลับมา
พวกเราเคยได้รับการฝึกสอนแนะนำจากโค้ชคนเดียวกับนักกรีฑาระดับชาติ ทั้งๆที่ตอนนั้นผมเป็นเพียงนักวิ่งรุ่นจิ๋วของโรงเรียน แต่ทางโรงเรียนให้ความสำคัญของกีฬามากจนใช้โค้ชทีมชาติมาช่วย
โค้ชปรับท่ารับไม้ผลัด จากเคยรับส่งกันสะเปะสะปะ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำเวลาได้ดีขึ้น ลดความผิดพลาดในการรับส่ง และส่งผลให้เรากลายเป็นแชมป์กีฬากรมพละศึกษา
แม้เวลาเล่นจะโดนดุ โดนฝึก แต่ผ่านมาทุกวันนี้ ผมก็ยังตระหนักในความดีงามของโค้ชไม่แพ้ครู
เมื่อหลายปี ก่อนคำว่าโค้ชชีวิตจะได้รับความนิยม มีคนชวนผมไปขึ้นเวทีบรรยาย เกี่ยวกับความสำเร็จของชีวิต ผมเสนอให้ใช้ชื่อว่า โค้ชฟอร์โกล์ ( Coach for Goal )
เอาฟุตบอลไปเตะโชว์บนเวที เล่าพร้อมแสดงทักษะทางฟุตบอลที่ตัวเองมี บนเวทีมีโกล์ใหญ่และด้านล่างเวทีมีโกล์เล็กๆให้คนลองเตะ ยังได้ทดลองชวนให้ผู้หญิงบางคนเตะฟุตบอลเข้าประตู
ลงเวทีมีคนมาชมว่า เข้าใจง่าย เพราะใช้เทคนิคเตะฟุตบอลมาอธิบายเป้าหมายของชีวิต
จากอดีตซึ่งเคยเป็นนักกีฬามาก่อนเลยให้ความสำคัญกับโค้ชค่อนข้างมาก เมื่อผมประสบปัญหาชีวิตและการงาน และรู้ว่ามีวิชาไลฟ์โค้ช มีคนทำอาชีพนี้ก็อยากจะลองใช้
ในฐานะเป็นคนชอบใช้ชีวิต คิดว่าเส้นทางบนถนนชีวิตก็คล้ายนักกีฬาหากอยากพัฒนาย่อมต้องการโค้ช ยิ่งต้องการเป็นมืออาชีพหรือต้องการเป้าหมายอันเข้มข้นกว่าเดิม ย่อมต้องหาโค้ชที่พอดีและเหมาะสมกับความต้องการของเรา
โค้ชอาจจะไม่ได้เก่งกว่าแชมป์ ไม่เช่นนั้นนักกีฬาซึ่งเป็นแชมป์โลกก็คงไม่จำเป็นต้องมีโค้ช
แม้โค้ชกีฬาจะมีความสามารถสอนทักษะของกีฬาชนิดนั้นได้ดี แต่สิ่งที่โค้ชชีวิตมี คือทักษะในการรับฟังและสื่อสารกับเรา เพื่อค้นหาวิธีนำพาให้เราก้าวผ่านพ้นปัญหาไปทีละเปลาะ อย่างที่เราต้องการพัฒนา โดยเราไม่ต้องไปนั่งหาเครื่องมือมาจัดการกับตัวเองโดยลำพัง
บางครั้งผมต้องเลิกคุยกับคนบางคน เพราะคุยกันแล้วเขาคอยมาบอกว่าทำยังงั้นสิ ทำอย่างนี้สิ พอเขาพูดแบบนี้บ่อยๆ เราก็เลิกคุยกัน เพราะเขาไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริง เมื่อมาบอกว่าอย่าคิดมากทำๆ ไปเหอะ ผมก็เลิกคุยกับเขาไปเลย เพราะรำคาญความคิดเห็นของเขา
ซึ่งหากเขาเข้าใจความเป็นผู้ฟังที่ดี มีความเป็นโค้ช หรือมีวิชาการฟังการสื่อสารมาบ้าง ปัญหานี้คงจะไม่เกิดบานปลาย
ต่อให้มีชื่อเสียง มีความสามารถ ก็ใช่ว่าเราจะจัดการกับทุกอย่างได้ราบรื่นดี เราจึงเห็นนักแสดงดาราผู้เริงร่าบนเวที แต่กลับมีความเสี่ยงจะเคว้งคว้างทางอารมณ์ ต้องมาใช้สารเสพติด ทั้งๆ ที่ใครเล่าจะไม่รู้บ้างว่ามันไม่ดี และกี่ดาราที่ต้องพึ่งพาจิตแพทย์
ดังนั้นการโค้ชชิ่ง จึงเป็นวิธีซึ่งผู้คนควรเรียนรู้ ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา พัฒนาคนที่เคยเป็นครูให้มีหลักในการโค้ชมาช่วยกระบวนการเรียนรู้จะช่วยให้เด็กๆ นักเรียน นักศึกษา แก้ปัญหาและพัฒนาตน ทั้งสมควรสอดแทรกไปใช้ในหน่วยงานต่างๆ
ไลฟ์โค้ช จึงเป็นอาชีพอันควรจะให้คุณค่า แม้ว่าเราจะยังไม่ต้องการใช้
เพราะแท้จริงแล้วอาชีพเขาก็สำคัญไม่แพ้อาชีพใด
นอกเสียจากว่า เขายังเป็นโค้ชได้ไม่ดีพอ ไม่มีวิชา ไม่มีจรรยาบรรณหรือสำคัญตนผิดพลั้งไป นั่นอาจเป็นเพราะเขาขาดโค้ชที่ดีช่วยประคอง
ไม่เชื่อลองถามหมอนวดก็ได้ ว่าเวลาเมื่อยปวดแล้วต้องทำฉันใด เพราะหมอนวดก็ต้องการหมอมาช่วยนวดบ้างบางคราฉันใด
โค้ช ก็จำเป็นต้องใช้ โค้ช ช่วยฉันนั้น
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากศุ บุญเลี้ยง ได้ทุกวันพุธ บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจศุ บุญเลี้ยง