นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส หรือ ASPS เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/ ปี 2563 ยังผันผวนสูงอย่างต่อเนื่อง คาดว่าดัชนีหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลงต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิดที่ไม่รู้ว่าจะรุนแรงและยืดเยื้อมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากเป็นปัจจัยกดดันการส่งออก ท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศทำให้ปรับลดจีดีพีลงติดลบ 1.4% จากเดิมที่คาดว่าโต 2.8%
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าจีดีพีติดลบ 5.8% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยติดหลุมที่ลึกกว่าที่ควรทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบ 579,000 ล้านบาท โดยมองว่าภาครัฐควรจะหาวิธีในการเติมช่องว่างของหลุมไม่ให้ลึกเกินไปด้วยการใช้นโนบายการคลังควบคู่กับนโยบายการเงิน และเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
“การระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดัน และทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยอาจทำให้จีดีพีโลกติดลบ เหมือนช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ในช่วงปี 51”
ส่วนเม็ดเงินจากขายกองทุน SSF พิเศษ ที่จะเข้าสู่ตลาดไตรมาส 2 ประมาณ 26,000 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าเม็ดเงินจากกองทุน LTF เดิมประมาณเกือบ 50% เนื่องจากระยะเวลาการขายเพียง 3 เดือน และระยะเวลาการถือครองนานกว่าเดิม คาดว่าจะหนุนดัชนีได้ 4-5% แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้นก็จะกดดันยอดขาย SSF ให้ลดลงจากที่คาดการณ์ได้
สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายยังไหลออกต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เงินไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้กว่า 35,233 ล้านเหรียญสหรัฐ หากเทียบปี 61 ที่ไหลออกไป 31,508 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นช่วงเกิดเทรดวอร์ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยไหลออกกว่า 1.1 แสนล้านบาท และ ตลาดตราสารหนี้ 1 แสนล้านบาทเช่นกัน จึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 8% คาดว่าเม.ย.นี้เม็ดเงินยังไม่ไหลเข้าหุ้นไทย
นอกจากนี้ได้ปรับลดประมาณการกำไรบจ.ปีนี้ เหลือที่ 7.8 แสนล้านบาท ลดลง 2.19 แสนล้านบาท หรือลดลง 16.5% จากประมาณการเดิม ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (อีพีเอส) ปีนี้ อยู่ที่ 72.62 บาทต่อหุ้น สาเหตุหลักมาจากการกำไรในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีลดลง