นักกิจกรรมของแอมเนสตี้ ประเทศไทย กว่า 10 คน ยืนชูป้ายมีข้อความคัดค้านไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต
วันนี้ ( 19 มิ.ย. 61) ที่ บริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี นักกิจกรรมของแอมเนสตี้ ประเทศไทย กว่า 10 คน สวมหน้ากากกระดาษสีขาว และสวมเสื้อสีดำพร้อมยืนชูป้ายมีข้อความคัดค้านเป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศที่แสดงเชิงสัญลักษณ์ไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต
เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายหลังจากกรมราชทัณฑ์ประหารชีวิตนักโทษชายรายหนึ่งที่กระทำความผิดในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์
โดยเป็นการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาสารพิษที่เกิดขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 ปี นับแต่ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คิดจะก่ออาชญากรรมร้ายแรงหรือกระทำความผิดกฎหมายได้ยั้งคิดถึงบทลงโทษ เมื่อ 18 มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า โทษประหารชีวิตไม่ใช่คำตอบของการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และเรื่องนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิอย่างร้ายแรง ถ้าสังคมไม่ต้องการเห็นความรุนแรง หรือเห็นการเข่นฆ่า เราก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา
ที่ผ่านมาทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมเองล้วนมีการศึกษาว่าโทษประหารชีวิตไม่สามารถแก้ไขปัญหาอาชญากรรมได้ จึงมีโรดแม็พที่จะยกเลิกโทษประหาร เมื่อเกิดเรื่องนี้ทำให้รู้สึกผิดหวัง และเสียใจกับการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่ปล่อยให้มีการประหารเกิดขึ้น
ผอ.แอมเนสตี้ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย เพราะมีผลต่อปฎิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่รัฐบาลไทยเคยลงนามไว้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งหากไทยไม่มีการลงโทษประหารชีวิตภายใน 10 ปี หรือภายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2562 ให้ถือว่าไทยได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปโดยปริยาย แต่จากการลงโทษในครั้งนี้ทำให้ข้อตกลงในปฎิญญาสากล ที่ให้ไว้ต้องตกไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามหลังจากนี้แอมเนสตี้ก็จะเดินหน้าเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ต่อไป