ถือว่าเป็นวันที่เปรียบเสมือนหมุดหมายของการแสดงความรัก สำหรับวันวาเลนไทน์ ที่ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งในไทยเราเองแม้จะไม่ได้มีธรรมเนียมเฉพาะเป็นของตัวเอง แต่คู่รักบางคู่ก็อาจจะยกวันนี้ให้เป็นวันพิเศษ มีการมอบช่อดอกไม้ ของขวัญต่าง ๆ ให้แก่กัน หรือสำหรับหนุ่มสาวที่มีใจให้แก่กันก็อาจจะใช้วันนี้ในการสารภาพรัก หรือเลื่อนระดับสถานะทางความสัมพันธ์ หรืออย่างในตอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนก็จะมีการให้ของขวัญ ดอกไม้ หรือสติ๊กเกอร์รูปหัวใจ
ธรรมเนียมในแต่ละประเทศนั้น ก็ล้วนจะเป็นซิกเนเจอร์ของแต่ละประเทศ มีความแตกต่างกันออกไป #ลัดเลาะรอบโลก จะพาทุกคนไปดูว่าธรรมเนียมในวันวาเลนไทน์จาก 5 ประเทศทั่วโลก ไปดูกันว่าแต่ละที่เขาฉลองวันวาเลนไทน์กันอย่างไร และมีธรรมเนียมน่ารัก ๆ หวาน ๆ อย่างไรกันบ้าง ตามไปดูกันเลย
เริ่มต้นที่ประเทศแรกอย่าง “เดนมาร์ก” ซึ่งมีการฉลองวันวาเลนไทน์มาตั้งศตวรรษที่ 90 โดยปกติแล้วในวันวาเลนไทน์ ทุกคนก็จะนิยมมอบดอกกุหลาบกัน แต่ว่าในเดนมาร์กนั้น จะมีการมอบดอกไม้สีขาวที่เรียกว่า snowdrops แทน อีกทั้งยังมีการแลก “บัตรคู่รัก” ซึ่งเป็นการ์ดที่มีลักษณะโปร่งใส แสดงถึงผู้ส่งว่าเป็นใคร ซึ่งก็เป็นเหมือนธรรมเนียมการส่งการ์ดทั่ว ๆ ไป แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเดนมาร์กทำ คือผู้ชายจะส่ง Joker Letter หรือจดหมายนิรนาม ให้กับผู้หญิง โดยจะไม่แสดงตนว่าใครเป็นคนส่ง ภายในนั้นจะมีบทกลอน หรือข้อความตลก ๆ และผู้ที่ได้รับทายถูกว่าจดหมายนี้มาจากใคร ก็จะได้รับไข่เอสเตอร์เป็นของขวัญ
“ฝรั่งเศส” เป็นอีกที่ที่ถือว่าให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์เช่นเดียวกัน เพราะเมืองในประเทศฝรั่งเศสอย่าง “ปารีส” ได้รับยกย่องให้เป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก และถือว่าเป็นสถานที่ให้กำเนิดการมอบการ์ดวันวาเลนไทน์ให้แก่คนรักด้วย โดยเริ่มจากเจ้าชายชาร์ล ดุ๊ก แห่งเมืองออร์ลีน ได้ส่งจดหมายรักถึงภรรยาที่ถูกคุมขังอยู่ที่ลอนดอนในปี 1415 เลยทำให้การมอบการ์ด หรือจดหมายรักในวันวาเลนไทน์กลายเป็นธรรมเนียมไปทั่วโลก อีกทั้งยังมีประเพณีจับคู่ โดยให้ชายและหญิงมาเจอกัน แต่ว่าหากชายใดไม่พอใจหญิงที่ถูกจับคู่ ก็สามารถทิ้งเธอไปหาผู้หญิงคนอื่นได้ แต่เมื่อฝ่ายชายเป็นฝ่ายเลือกได้แต่เพียงผู้เดียว จึงทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่หญิงสาว ประเพณีจึงถูกยกเลิกไป
ตามมาด้วยเพื่อนบ้านใกล้ ๆ อย่าง“เกาหลีใต้” ที่มีธรรมเนียมในวันวาเลนไทน์ที่มีการฉลองยาว ๆ กันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนไปถึงเมษายนเลยทีเดียว สำหรับธรรมเนียมในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้นก็คือฝ่ายหญิงตะมอบของขวัญ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ ลูกอม ช็อกโกแลต ให้แก่ฝ่ายชาย และในเดือนมีนาคมจะมีวันที่เรียกว่า White Day จะเป็นวันที่ผู้ชายจะต้องทรีทผู้หญิงกลับคืนหากมีหัวใจที่ตรงกัน แต่สำหรับคนโสดที่ไม่ได้ฉลองทั้งสองวัน ก็จะมีวันที่เรียกว่า Black Day ในเดือนเมษายน ก็คือคนโสดนั้นจะกินอาหารที่มีสีดำ ไม่ว่าจะเป็น จาจังเมียน หรือก๋วยเตี๋ยวที่ทำมาจากถั่วดำ
“อิตาลี” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการฉลองวันวาเลนไทน์ โดยการที่หนุ่มสาวที่เป็นคู่รักกัน ก็จะออกมาเที่ยวเล่นกันในสวน และก็ดื่มด่ำไปกับบทกลอน และเสียงเพลง มีการพูดคุยกัน แต่เดิมนั้นอิตาลีมีธรรมเนียมสำหรับผู้หญิงวัยรุ่นที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็คือในวันวาเลนไทน์ หญิงสาวจะต้องตื่นเช้าก่อนรุ่งอรุณ เพื่อที่คอยส่องผู้ชาย โดยมีความเชื่อว่าผู้ชายคนแรกที่หญิงสาวได้เจอในวันวาเลนไทน์ หญิงสาวจะได้แต่งงานกับชายคนนั้นภายในหนึ่งปี แต่สำหรับในปัจจุบันนั้น คู่รักอิตาลีมีการฉลองวันวาเลนไทน์โดยการแลกของขวัญ มีการดินเนอร์ด้วยกัน แต่สิ่งที่เป็นของขวัญยอดฮิตที่มอบให้กันในวันวาเลนไทน์ก็คือ Baci Perugina ก็คือช็อกโกแลตที่สอดไส้เฮเซลนัท พร้อมกับมีการห่อด้วยกระดาษที่พิมพ์ด้วยประโยคแสนโรแมนติก 4 ภาษา
ปิดท้ายด้วย “เยอรมนี” ที่วันวาเลนไทน์นั้นไม่ใช่วันสำหรับเด็กโดยเด็ดขาด เราจะไม่เห็นของตกแต่งใด ๆ ที่เกี่ยวกับวาเลนไทน์ในห้องเรียนของเด็กเลย เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความโรแมนติกของผู้ใหญ่เท่านั้น โดยในวันนั้นก็เต็มไปด้วยของขวัญวันวาเลนไทน์ ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต ดอกกุหลาย หรือจิวเวอรี่ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นของขวัญสำหรับคู่รักในความสัมพันธ์ของชาวเยอรมัน นอกจากนี้ยังมี หมู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และความปรารถนา ไม่เพียงเท่านั้นยังมีขนมขิงที่เป็นรูปหัวใจด้วยที่เป็นที่นิยม ที่มีความหมายว่าฉันรักคุณ ซึ่งสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี่เป็นการให้เพื่อยืนยันความรักที่คู่รักมีให้ต่อกัน
อ้างอิง
