โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

แม็กซ์ เจนมานะ ‘ถ้าเราเหนื่อยล้า จงร้องไห้ออกมา’ เลิกหนีแล้วหันหน้ายอมรับความจริง

THE STANDARD

อัพเดต 18 พ.ย. 2562 เวลา 13.44 น. • เผยแพร่ 18 พ.ย. 2562 เวลา 13.44 น. • thestandard.co
แม็กซ์ เจนมานะ ‘ถ้าเราเหนื่อยล้า จงร้องไห้ออกมา’ เลิกหนีแล้วหันหน้ายอมรับความจริง
แม็กซ์ เจนมานะ ‘ถ้าเราเหนื่อยล้า จงร้องไห้ออกมา’ เลิกหนีแล้วหันหน้ายอมรับความจริง

ถ้าเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องพบเจอคน ใจร้ายอย่างเธอ…

 

คือวรรคทองในเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าในอีพีอัลบั้ม Let There Be Lightที่กลั่นออกจากความรู้สึกอยาก ‘หนี’ อะไรบางอย่างของ แม็กซ์-ณัฐวุฒิ เจนมานะ และมีคนกดเข้าไปฟังเพลงของเขาใน YouTube มากกว่า 251 ล้านครั้ง 

 

2 ปีผ่านไป เขาตัดสินใจวางความสำเร็จระดับปรากฏการณ์ และเติบโตขึ้นอีกครั้งกับผลงานในอัลบั้มใหม่ ที่แม้จะยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่รู้แล้วว่าในขวบวัยใกล้จะ 30 ปี ว่าเขาต้องลุกขึ้นมา ‘ชน’ กับความจริง ไม่มีเวลาให้ ‘หนี’ อีกต่อไป

 

แม็กซ์เปิดตัวด้วยเพลง Crybabyที่ผ่านไป 2 เดือน มียอดวิวใน YouTube อยู่ที่ 173,000 ครั้ง น้อยกว่าเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเกือบ 1,500 เท่า!

 

แต่ตัวเลขที่แสนแตกต่างไม่ได้เป็นเพียงแค่ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ ได้เท่ากับการที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เขาควรทำหลังจากนี้คืออะไร

 

รวมทั้งบทเรียนสำคัญที่ทำให้รู้ว่า วิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การเดินเข้ามา แต่เป็นการ ‘ร้องไห้’ ออกมาให้ใครสักคน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ร้องไห้ให้ตัวเองได้ฟัง

 

มิวสิกวิดีโอเพลง Crybaby

 

คุณเคยบอกว่าคุณฉลองให้กับตัวเองจนเมา ตอนเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าทำได้ 100,000 วิว ตอนนี้ยอดวิวเพลงนั้นพุ่งไปถึง 250 ล้านครั้ง คุณยังได้กลับไปฉลองให้ตัวเลขเหล่านั้นอีกอยู่ไหม 

พอแตะล้านเป็นต้นไปผมไม่ได้โฟกัสแล้วครับ ไม่ได้บอกว่าผมไม่แคร์ตัวเลข ผมแคร์มากเลย (หัวเราะ) แคร์จนต้องพยายามไม่โฟกัส เพราะมันส่งผลกับงานมาก พอเห็นแล้วจะมีความคิดว่า ต้องทำเพลงอย่างไรให้คนเอามากกว่านี้ อยากให้มันสำเร็จ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากโฟกัสแค่คุณภาพมากกว่า เพราะแค่เรื่องคุณภาพว่าอันไหนดีไม่ดีก็งงแล้ว ถ้าเอายอดวิวมารวมจะยิ่งงงไปกันใหญ่ อย่ามายุ่งกันดีกว่า (หัวเราะ)

 

ผมถึงขนาดเคยจ้างคนมาวิเคราะห์สถิติในช่อง YouTube ให้ด้วยนะ แล้วเขาก็มีคำแนะนำหลายๆ อย่าง ให้ทำโน่นทำนี่ มี Vlog ทำสกู๊ป How to Make A Song เป็นเบื้องหลัง ต้องพูดคุยกับคน ผมก็ไปถ่ายนะ แต่ไม่ได้ปล่อย สุดท้ายกลับมาคิดว่ามันยังไม่ใช่ แล้วก็คิดถึงคาแรกเตอร์ของคนที่เขาฟังเพลงของเราจริงๆ มองในแง่งานศิลปะ ก็ค่อยๆ ลดลงมาให้เหลือแค่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเพลงเท่านั้นดีกว่า

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

แต่ภาพที่คนฟังเพลงเห็น ตัวคุณเองก็ดูเหมือนจะชัดเจนกับสไตล์เพลงและเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอออกมาอยู่แล้วหรือเปล่า

ผมว่าอาร์ทิสต์ที่โชคดีคือคนที่ชัวร์กับไอเดียตัวเองจริงๆ ว่าสิ่งที่ปล่อยออกไปคือตัวเขา และแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีเปลี่ยนแน่นอน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไรนะ แต่เวลาผมปล่อยอะไรออกไป จะคิดแล้วคิดอีก ใช่หรือเปล่าวะ ลบดีไหม เสียเวลาในการทำงานมาก เลยต้องพยายามชิลล์ให้มากที่สุด ซึ่งการพยายามชิลล์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

เพราะเราไม่อยากทำอะไรฝืนใจตัวเอง อันไหนทำแล้วรู้สึกจักจี้หน่อยก็ไม่ทำแล้ว แต่บางครั้งเสียงในหัวก็จะตีกันอีกว่า มึงทำแบบนี้ให้คนฟังเขานิดหนึ่งก็ดีนะ ทำเพลงให้ใครฟัง มึงก็ควรจะเซิร์ฟเขาหน่อยหรือเปล่า ซึ่งอัลบั้มที่แล้วผมทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่คาดหวัง ก็โฟกัสและไดรฟ์มันด้วยดนตรีอย่างเดียว แต่ตอนนี้มันคิดแบบนั้นทั้งหมดไม่ได้แล้ว ก็เป็นอีกเรื่องที่พยายามเรียนรู้และปรับสมดุลอยู่

 

มิวสิกวิดีโอเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า

 

จุดไหนที่ทำให้รู้สึกว่าเพลงของคุณเริ่มถูกไดรฟ์ด้วยความรู้สึกอื่นที่นอกเหนือจากดนตรีของคุณอย่างเดียว

ไม่แน่ใจว่าจุดไหน แต่จะมีช่วงงงๆ ตอนที่เริ่มดัง สมมติไปเล่นที่ไหน คนก็จะรอเพลง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าก็ต้องคิดว่าจะเล่นอย่างไรให้คนสนใจทั้งโชว์ หรือเขียนเพลงใหม่อย่างไรให้คนเอา ไปเล่นที่ร้านอย่าง ป.กุ้งเผา แล้วคนกระโดด ไปเล่นที่ DND แล้วคนร้องตาม

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมคุยกับมือเบสผมเลยว่า “พี่ วันนี้ผมควรเล่นเพลงตัวเองหรือเปล่าวะ” พอพูดไปแล้วผมสะอึกเลย ไอ้เหี้ย ไม่ใช่แล้ว ทำไมถึงจะไม่เล่นเพลงตัวเอง มึงพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง หลังจากนั้นผมกลับมาเอาเพลงตัวเองยัดเข้าไปในโชว์ แต่เอามาอะเรนจ์ใหม่ตามสถานที่ ถ้าที่ไหนคนไม่ฟังจริงๆ ก็ค่อยเล่นแบบที่อยากเล่นไป แต่ต้องเล่นเพลงตัวเอง

 

เป็นความรู้สึกที่แย่มากเลยนะครับ แต่พอสถานะเปลี่ยน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปจริงๆ จากเดิมผมแฮปปี้ที่อยู่ในสตูดิโอ ทำเพลง ปล่อยออกไป แฮปปี้ สักพักพอเพลงเริ่มดัง มีงานโชว์ หันไปมองข้างๆ เห็นนักดนตรี เห็นคนในวง ก็ต้องคิดว่าพวกเขาต้องมีงานให้เล่นตลอดนะถึงอยู่ได้ แล้วเราต้องทำตัวอย่างไร ต้องทำงานให้มากขึ้นขนาดไหน กลายเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเพลงไปแล้ว

 

ผมก็พยายามหาคำตอบให้กับเรื่องนี้อยู่นานเลยนะ กับการตีความหมายคำว่าสำเร็จกับคุณภาพ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้คิดว่าความสำเร็จคือคุณภาพ ไม่ต้องเลือก ทำให้มันอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ก็พยายามศึกษา หาข้อมูล พยายามคิด เพื่อตี Mindset ให้เข้าที่ ไม่อย่างนั้นจะแย่เอาตอนทำอัลบั้มใหม่

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

อย่างเพลง Crybabyเป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงหาคำตอบ แยกแยะ และผสมผสานระหว่างคำว่าสำเร็จกับคุณภาพได้มากขนาดไหน  

(คิดนาน) จะพูดยังไงดี (หัวเราะ) ถือว่าเป็นก้าวแรก โยนหินถามทางไปก่อน ซึ่งมันสอนอะไรหลายอย่างเลยนะ ที่ชัดๆ เลยคือการพยายามชิลล์หรือไม่สนใจอะไร เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเลย เพลงนี้เป็นเพลงร็อกที่โวยวายนะ อยากเป็นแบบนี้ก็ทำเลย ใครอยากเล่นนีโอโซล อิเล็กทรอนิกส์ ฮิปฮอป เล่นไปเลย กูจะโซโล่แบบ 90s ไปเลย ทำเหมือนว่าไม่สนใจ 

 

แต่ในความไม่สนใจก็มีความคิดมากอยู่อีก ผมทำตัวเหมือนขบถที่จริงๆ แล้วก็คิดอย่างหนักมากเพื่อให้คนยอมรับ จากที่พยายามทำแบบไม่มีกรอบ ก็กลายเป็นตีกรอบมาครอบตัวเองอีกชั้น เป็นเพลงที่สอนผมในก้าวแรกที่ทำให้รู้ว่าต่อจากนี้จะปล่อยเพลงอะไรต่อ ตอนนี้ผมแฮปปี้มากเลยนะ เตรียมเพลงไว้หมดแล้ว จะปล่อยทุกๆ 2 เดือนเลย อัลบั้มเต็มน่าจะได้ฟังกันปีหน้า 

 

ตัวเลขยอดวิวเพลง Crybabyตอนนี้อยู่ที่ 173,000 หลังจากปล่อยเพลงมาเกือบ 2 เดือน บอกอะไรคุณบ้าง 

อย่างที่บอกว่ามันเป็นการโยนหินถามทาง มันมีหลายๆ เรื่องที่ผมยังไม่ตกตะกอน รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหน แต่เพลงนี้ดันเลือกที่จะพูดมากเกินไป (หัวเราะ) ความ Magic ตอนปล่อยออกไปมันไม่เท่ากับตอนที่ปล่อยเพลงแรกๆ ออกมา ต่อไปก็จะได้รู้แล้วว่าควรทำแบบไหน

 

พี่บิว Lemon Soup เคยบอกผมว่า “ถ้าเพลงนี้มันประสบความสำเร็จแต่มึงดันไม่ชอบมันขึ้นมานี่ฉิบหายเลยนะ” ซึ่งมันจริงมากเลยนะ เพราะฉะนั้นยอดวิวที่มันน้อยเลยทำให้ผมโล่งอก ถ้าเพลงนี้ดัง มีคนฟังเป็นล้าน สิบล้าน ผมจะเครียดยิ่งกว่านี้อีก ถือว่าผมโชคดีแล้ว

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

อะไรในเพลง Crybabyที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น 

มันเป็นช่วงเดียวกับที่ผมเริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่างเยอะขึ้นมากกว่าเพลง ตอนทำอัลบั้ม Let There Be Lightกระบวนการคิดทุกอย่างมันค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากๆ อยากทำอะไรก็ทำออกมาได้เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นคิดว่ามีงบทำเพลงเท่านี้ ทำมิวสิกวิดีโอเท่านี้ ต้องพีอาร์แบบไหน ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ บอกตัวเองว่าเป็นศิลปินอิสระ แต่เอาความคิดอีกแบบมาตีกรอบครอบตัวเองอีกที ทั้งๆ ที่เราควรจะสนุกได้มากกว่านี้

 

ผลที่ออกมาก็คือผมรู้สึกไม่สนุกเลยเวลาเล่นเพลงนี้ แต่โทษใครไม่ได้ เพราะเราคิดเองทั้งหมด (หัวเราะ) สิ่งที่พูดก็ออกมาจากใจจริงๆ แต่เป็นองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ซาวด์ไดเร็กชัน อะไรต่างๆ ที่รู้สึกว่าประกอบกันออกมาแล้วยังไม่พอใจกับมันเท่าไร ตอนนี้ก็ต้อง Move On ต่อไป ไม่ต้องคิดมาก เพลงนี้ทำหน้าที่สอนเราแล้ว อย่าทำแบบนี้อีกนะ อย่าตีกรอบตัวเองแบบนี้อีก 

 

คุณมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าการคิดมากในทุกๆ เรื่องส่งผลให้คุณป่วยเป็นโรคไบโพลาร์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

มีส่วนครับ แต่หมอบอกว่าผมเกือบๆ นะ อีกนิดหนึ่งจะหลุดแล้ว (หัวเราะ) เพราะเราอยากให้งานทุกอย่างออกมาดี แล้วตอนนั้นงานเข้ามาเยอะมากจริงๆ ก็รับแม่งหมด  มันคืองาน มึงต้องเป็นมืออาชีพ ก็ออกไปเล่น ได้นอน 2-3 ชั่วโมงต้องพร้อมสำหรับงานต่อไป มันเหนื่อยนะ คิดงานไม่ออก เขียนเพลงไม่ได้ 

 

รู้เลยว่าร็อกแอนด์โรลไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนในหนัง ไปทัวร์ แล้วเขียนเพลงบนรถ ปาร์ตี้เอเวอร์ไนต์ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย (หัวเราะ) ช่วงแรกๆ ก็เฟลเลย ไม่ยอมรับด้วยว่าเฟล คิดว่าชีวิตแม่งต้องเป็นอีกแบบหนึ่งสิวะ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่ามึงห่วย (หัวเราะ) ชีวิตจริงมันเป็นอย่างนี้

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

การยอมรับความห่วยของตัวเอง และยอมรับว่าชีวิตจริงเป็นอย่างนี้ สำคัญกับคุณอย่างไร

มันเกิดจากความเบื่อ ผมด่าตัวเองจนเบื่อที่จะด่าแล้ว (หัวเราะ) พายเรืออยู่ในอ่างกับการด่าตัวเอง ไอ้เหี้ย มึงไม่ออกไปทำอะไรใหม่ๆ เลย การด่าตรงนี้เปลืองเวลาชีวิตมาก ไม่ได้แล้ว ยอมรับมันเลยดีกว่า ตอนทำเพลง Crybabyผมคุยกับพี่แสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) ว่าผมเครียดมาก ไม่อยากปล่อยเพลงนี้เลย อยากทำให้มันดีกว่านี้ 

 

พี่แสตมป์บอกว่า แม็กซ์ มึงต้องทำเพลงที่ห่วยออกมา ทำออกมาแข่งกันเลย ไม่ต้องสนใจ ปล่อยออกมาเลย ใครห่วยกว่าชนะ (หัวเราะ) อย่างน้อยก็ให้รู้ว่ามันห่วย ผมก็ช่างแม่ง แล้วปล่อยออกไป เอาตัวไปชนกับความห่วยแล้วยอมรับไปเลยว่าตอนนี้ทำได้ประมาณนี้นะ แล้วก็ทำต่อไป 

 

รักษาอาการป่วยของตัวเองไปถึงระดับไหนแล้ว

ตอนนี้ผมดื้อหมอมา 3-4 เดือนแล้ว เคยถามพี่ทราย (อินทิรา เจริญปุระ) ว่าผมไม่กินยาได้ไหม เขาบอกว่า เอาสิ ถ้ามั่นใจว่าสู้ไหว เพราะผมไม่อยากเป็นแบบนี้ อยากกลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิม ต้องการอิสระจริงๆ เพราะฉะนั้นผมต้องชน ผมเบื่อ ผมไม่อยากยอมอีกต่อไปแล้ว 

 

แต่ต้องบอกก่อนว่าผมอยู่ในช่วงปลายของกระบวนการรักษาแล้วนะ ผมยอมรับว่าตัวเองป่วย พาตัวเองไปหาหมอ รับยา ปรับยา จนเริ่มหายมาไกลแล้ว มีช่วงหนึ่งรู้สึกได้กลิ่นหญ้าอ่อนๆ (หัวเราะ) เห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ 

 

แล้วจำได้ว่า เราเคยรู้สึกอะไรบางอย่างที่เคยดี เคยสดใสกว่านี้ ผมคิดว่าถ้าใครรักษามาจนถึงความรู้สึกแบบนี้ น่าจะใกล้ออกมาได้แล้ว ตอนนี้ความรู้สึกผมคือยอมรับว่าเราป่วย เราเป็นแบบนั้น แต่เราต้องไม่เป็นแบบนี้ตลอดไป เมื่อรู้สึกว่าแข็งแรงพอแล้ว ขอปีนออกมาจากความรู้สึกนั้นแล้วกัน 

 

ช่วงแรกๆ ที่เริ่มหยุดกินยาเป็นอย่างไร

คนใกล้ตัวก็รับเคราะห์หน่อย (หัวเราะ) แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยพูดกับใครอยู่แล้ว จะพังอยู่กับตัวเอง ก็มีหลายครั้งที่พยายามปีนขึ้นมาแล้วตก ตกจนบอกตัวเองว่า ไอ้เหี้ย กูเบื่อที่จะตกแล้วนะ ชีวิตไดรฟ์ด้วยความเบื่อเลยช่วงนั้น (หัวเราะ) แต่ยอมไม่ได้ ต้องปีนขึ้นมาให้ได้ เพราะรู้ว่าชีวิตปกติแม่งเจ๋งสัตว์ๆ เลยนะ เราอยากเป็นคนปกติ

  

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

เป็นคำพูดที่เจ็บปวดเหมือนกันนะ ในขณะที่คนปกติก็จะมองเห็นว่าคนที่มีความรัก มีความฝัน คนที่ประสบความสำเร็จเจ๋งมากเลย แต่คนป่วยกลับพูดได้แค่ว่า การเป็นคนปกติก็เจ๋งมากแล้ว 

มันมีหลายขั้นตอนมาก ช่วงแรกๆ ที่ป่วยหรืออาจจะยังไม่ทันรู้ว่าตัวเองป่วย แต่เราจะรู้สึกถึงความพิเศษในความรู้สึกช่วงนี้อยู่ คิดว่าตัวเองเป็นสิ่งที่ดีกว่าคนอื่น คิดโน่นนี่ได้เต็มไปหมดเลย มันมีช่วงเวลาแบบนั้นอยู่ที่จริงๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ 

 

เคยได้ยินว่ามีศิลปินหลายคนที่พยายามเก็บภาวะความเศร้าหรืออาการป่วยเอาไว้ แล้วดึงอารมณ์ความรู้สึกในช่วงนั้นมาสร้างสรรค์ผลงาน แล้วเขาก็จะเสพติดความรู้สึกนั้นจนไม่อยากพาตัวเองออกมา 

ใช่ มันคือการเสพติดความเจ็บปวดครับ เพราะมันให้อะไรบางอย่างจริงๆ ทำให้เราหลีกเลี่ยง ไม่ชนกับความรู้สึกตัวเอง แล้วก็ไปเล่นกับมัน ไม่ยอมดีลกับมันให้จบ เหมือนมี Puzzle ชิ้นหนึ่งเราชอบมันมาก แล้วก็แกะเล่นมันอยู่อย่างนั้น ไม่จบกับมันสักที ไม่ไปทำเรื่องอื่นที่มีประโยชน์หรือสร้างสรรค์มากกว่านี้ เหมือนเล่นอยู่กับสิ่งที่ไม่มีวันเติมเต็มได้ 

 

ช่วงหนึ่งผมงงมากเลยนะครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะว่าดำลึกเกินไปหน่อย พยายามไม่เป็นตัวเอง พยายามหาความพิเศษในสิ่งที่เราชอบ ซึ่งก็คือความดีป ความดาร์ก หรืออะไรต่างๆ ซึ่งศิลปะตรงนั้นมันสวยกว่าในความรู้สึกของเรา บางคนดูแล้วอาจจะเฉยๆ แต่ผมดูแล้วแฮปปี้ แล้วก็ลงไปเอ็นจอยกับมัน

 

แต่มันก็ทำให้ได้งานศิลปะอย่างหนึ่งจริงๆ นะ ทุกอย่างเป็นศิลปะได้ เหมือนภาพหม่นๆ ภาพหนึ่งที่ไปยืนเสพแล้วคงเศร้า มันก็สะท้อนถึงความสวยงามบางอย่าง ช่วงก่อนหน้านี้ผมก็ชอบมากเลย การเสพงานแบบนี้เป็นความรู้สึกที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่ไม่ดีกับตัวเองเท่าไร เพราะว่ามันเหนื่อย และคิดว่าผมให้เวลากับความสวยงามแบบนั้นมากพอแล้ว ตอนนี้ผมเชื่อว่าผมแข็งแรงพอที่จะหาคอนเทนต์ทำงานศิลปะแบบอื่น จากความรู้สึกและเรื่องอื่นๆ ได้ 

 

ทุกวันนี้ เมื่อข้ามความรู้สึกแบบนั้นได้ ยังมองงานศิลปะเหล่านั้นด้วยความรู้สึกสวยงามเท่าเดิมอยู่ไหม

บางงานที่เคยคิดว่าแม่งดีปมากๆ กลายเป็นว่าไม่ดีปแล้ว (หัวเราะ) เมื่อก่อนเหมือนเราลงลึกเกิน แล้วก็คิดว่าไอ้หนังที่เราดูแม่งเจ๋ง เหมือนความคิด ความรู้สึกเรา มีส่วนทำให้งานนั้นเจ๋งขึ้นมาด้วย มันมีหลายชั้น หลายขั้นตอนมากเลย บางทีก็อยากกลับไปมองอะไรตื้นๆ แล้วเห็นถึงความสวยงามแบบง่ายๆ บ้างเหมือนกัน

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

คุณเคยนิยามคอนเซปต์อัลบั้ม Let There Be Light ไว้ว่าเป็นการพาคนฟังออกเดินทางไปพร้อมกับคุณ คอนเซปต์ในอัลบั้มใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไรบ้าง

Lightในอัลบั้มที่แล้วคือแสงสว่าง มันคือการหนีปัญหาของผมตอนอายุ 26 ปี แล้วก็อยากพาคนอื่นออกมาด้วย เพราะรู้สึกว่าเราแก้ปัญหาได้เท่านั้นจริงๆ เข้าป่าคือหนี ปีศาจ ก็หนีจากความรู้สึกไม่ยอมรับแล้วว่าจะมีใครเข้าใจเรา ไวน์คือยอมทุกอย่างแล้วก็หนีมันไป

 

แต่อัลบั้มนี้เป็นต้นไปคือการชน ถ้าเจ็บก็ร้องไห้ ส่วนหนึ่งได้มาจากการคุยกับพ่อแม่ เพราะผมมีประเด็นบางอย่างที่ต้องการชนให้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วมันก็ได้จริงๆ จนคิดว่าทำไมกูไม่ทำอย่างนี้ตั้งแต่แรก ถ้าทำแบบนี้มันก็จบไปแล้ว ยิ่งดีลกับปัญหาเร็วขึ้นเท่าไรก็ยิ่งจบเร็วเท่านั้น 

 

แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากกลับไปแก้ไขอะไรนะ เพราะทุกโมเมนต์มีความดีของมันอยู่ ถ้าผมไม่เคยเกิดความรู้สึกอยากหนีแบบนั้นก็จะไม่มีผลงานแบบอัลบั้มนั้นออกมา เพียงแต่การยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ ทำให้มองเห็นทิศทางใหม่ๆ เพิ่มขึ้นว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป 

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

ทำไมถึงเลือกที่จะพุ่งชน เพราะแน่นอนว่าการหนีทำได้ง่ายกว่าการพุ่งเข้าชนอยู่แล้ว เช่น กลัวคนใจร้ายก็หนีเข้าป่า แต่การชนอย่างน้อยที่สุดก็ต้องร้องไห้ เหมือนเพลง Crybabyต้องชนกับความรู้สึกตัวเอง ชนกับสิ่งที่คนเห็นว่าคุณอ่อนแอ ชนกับความน่ากลัว เจ็บปวด 

เพราะการหนีไม่ใช่เรื่องจริง การชนคือเรื่องจริง แล้วจะมีอะไรดีไปกว่าความจริง มนุษย์เกิดมาเพื่อหาความจริง ถ้าหนีคุณทำได้แค่หาอย่างอื่นมาทดแทน ยาเสพติด แอลกอฮอล์ ผู้หญิง ความรู้สึกอื่นๆ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันจริงตลอดเวลา ซึ่งมันไม่มีทางทำได้ตลอด ชนกับสิ่งที่มันเป็นความจริงไปเลย จบ 

 

อะไรคือสิ่งที่เจ็บปวดหรือหนักหนาที่สุด เมื่อเปลี่ยนจากการหนีมาเป็นพุ่งเข้าชนความจริง

ผมไม่เคยอยากชนอะไรเลย (หัวเราะ) ที่ผ่านมามีหลายเรื่องมากที่ผมถูกมัดมือชก แล้วบังคับให้ต้องชนกับมัน ผลคือเลือกหนี ซึ่งเป็นทางที่ง่ายกว่า แต่ตอนนี้ผมพยายามสร้างทางเลือกว่าเราสามารถเลือกชนได้เอง มันคือการเติบโตขึ้นนะ ตอนเด็กๆ ไม่เคยอยากชนหรอก เพราะมันเหนื่อย มันเจ็บปวด เหมือนต้องลุกไปออกกำลังกาย ไปทำงาน ไปทำโน่นนี่ที่รู้ว่าต้องทำ แต่ไม่อยากทำ

 

การร้องไห้เป็นหนึ่งในเรื่องที่เคยหนักหนาที่สุดสำหรับคุณมาก่อนด้วยหรือเปล่า 

ใช่ ผมเคยร้องไห้ไม่ได้มาช่วงหนึ่ง เก็บทุกอย่างเอาไว้เหมือนเป็นระเบิดเวลา ที่จะระเบิดออกมาเมื่อไรไม่รู้ จนตอนหลังที่ไม่แน่ใจว่าเพราะหมอปรับยาให้ด้วยหรือเปล่า แล้วผมค่อยร้องไห้ได้ แล้วรู้สึกจริงๆ ว่าการร้องไห้คือการให้รางวัล 

 

อย่างน้อยควรจะมองเห็นว่าเรามีตัวเลือกนี้อยู่ ในวันที่เหนื่อยล้า เจ็บปวด เศร้า คุณยังมีตัวเลือกที่จะอ่อนแอได้อยู่นะ ไม่ต้องคิดว่ามีแค่ความเข้มแข็งเป็นตัวเลือกอย่างเดียวก็ได้ แค่ร้องไห้ออกมาก็เป็นรางวัลที่คุณให้ตัวเองได้แล้ว วันที่ผมร้องไห้ให้พ่อ ให้แม่ ให้แฟนเห็น ยังไม่ต้องมีทางออกให้กับปัญหาที่เจอก็ได้ แต่แค่นี้ก็โอเคแล้ว 

 

มันเหมือนเป็นรางวัลให้กับคนที่เรายอมร้องไห้ให้เขาเห็นด้วยนะ

ใช่ๆ ผมคิดว่าเขาก็ดีใจ แบบมึงยอมร้องไห้ให้กูเห็นเลยเหรอ แสดงว่ากูสำคัญกับมึงมากนะ

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

ตอนไหนที่รู้สึกว่า เราจะอนุญาตและให้รางวัลตัวเองด้วยการร้องไห้ได้จริงๆ 

สะสมมาเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าชีวิตมันเป็นลูปที่ไม่ดีเกินไปหน่อย คือพอทำอัลบั้มปุ๊บ จะนอยด์ คิดมาก นอนไม่หลับ เมา กว่าจะทำได้ แล้วพอปล่อยเพลงปุ๊บ ก็เริ่มโล่งอก เดี๋ยวสักพักก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ไอ้เหี้ย มาอีกแล้ว กูเป็นแบบนี้อีกแล้วเหรอ

ตอนนั้นล่ะที่อารมณ์เบื่อเริ่มมา ไดรฟ์ด้วยความเบื่ออีกแล้ว (หัวเราะ) กูต้องเจออย่างนี้ทุกอัลบั้มเหรอ แม่งไม่คุ้มหรือเปล่า ถ้าต้องทำอีก 2 3 4 อัลบั้มด้วยลูปนี้ตลอด แล้วจะทำอย่างไร คนรอบตัวเราจะทำอย่างไร ผมก็เลยเริ่มให้รางวัลตัวเองด้วยการยอมดู มันก็เลยคลิกให้ไปพาร์ตต่อไปของชีวิตได้ 

 

สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าการร้องไห้เป็นการให้รางวัลตัวเองที่ง่ายมาก แต่จริงๆ แล้วสำหรับบางคนการร้องไห้มันยากกว่านั้นมากเลยใช่ไหม 

ยากที่จะร้องไห้ให้ใครเห็น บางครั้งก่อนจะร้องไห้ก็ต้องมองซ้ายขวาก่อนว่ามีใครดูอยู่หรือเปล่า เราอยากให้เขาอยู่ข้างๆ และให้เห็นว่าเราร้องไห้จริงๆ ใช่ไหม เวลาร้องมันจะคิดมากเต็มไปหมด ซึ่งจะดีมากถ้าเราสามารถร้องให้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากได้

 

ตอนนี้สามารถร้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เหมือนอย่างที่บอกได้อย่างใจที่ต้องการมากขนาดไหน

ดีขึ้นนะ ค่อนข้างเปิดเผยตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนผมชอบไปงอแงกับคนที่ไม่ควรงอแงด้วย ตอนนี้เริ่มเรียนรู้ว่าเราควรจะแชร์โมเมนต์เหล่านี้กับใคร เราจำกัดเพื่อนเราลดลงเยอะมากเลย กลายเป็นว่าเราสามารถงอแงให้เต็มที่กับคนที่ควรจะงอแงด้วยได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องไปแงแงเรื่อยเปื่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ 

 

อาจจะไม่ต้องมีจำนวนมาก แต่ต้องหาคนคนนั้นให้เจอ

ไม่เจอก็ได้ครับ ถ้าไม่เจอก็ร้องไห้ไปกับตัวเองนี่ล่ะ

 

แม็กซ์ เจนมานะ
แม็กซ์ เจนมานะ

 

ในฐานะที่คุณเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดมาก่อน อยากให้ลองวิเคราะห์ ‘แม็กซ์ เจนมานะ’ ดูหน่อยว่าเป็นผลิตภัณฑ์แบบไหน มีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร

เคยเป็นงานคราฟต์ ที่อยู่ๆ มีรุ่นหนึ่งเสือก Go Mass ทีนี้ถามว่าโปรดักต์นี้ดีอย่างไร มันดีตรงที่ความจริงใจ เขาไม่ได้ต้องการให้มึงเท่ ไม่ต้องการให้มีโปรดักชันใหญ่ ก็คือเป็นงานที่ร้อยขึ้นมาทีละมือ มีชิ้นเดียวให้คุณนะ อย่างเพลงไวน์ คนฟังคนนี้แปลไปอย่างหนึ่ง คนฟังคนนี้ก็แปลไปอีกอย่างหนึ่ง วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่านี้แปลแบบหนึ่ง อีกคนแปลแบบหนึ่ง มันมีค่ากับคนไม่เหมือนกัน 

 

ผมไม่ได้บอกว่ามันเจ๋งนะ แต่มันเป็นแค่ชนิดหนึ่งของโปรดักต์นี้เฉยๆ ผมอยากให้มันเป็นงานที่ Back to Craft ไม่ใช่ Back to High End Mass Product ไม่ต้องทำแพ็กเกจจิ้งให้ดูมีราคา แต่ดูแล้วรู้ว่าเป็นงานแฮนด์เมดจริงๆ ไม่ต้องวางอยู่ด้านหน้าก็ได้ ไปวางอยู่ชั้นโปรดักต์ออร์แกนิกด้านหลังก็ได้ แต่เป็นจุดที่คนจะรู้ว่าโปรดักต์แถวนี้เป็นงานสำคัญคนที่ชอบงานคราฟต์นะ เหมือนตอนแรกที่ทำมาก็ไม่ได้อยากทำสู้กับใคร เรามีแก๊งเพื่อนของเราที่เป็นงานคราฟต์อยู่แล้ว

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0