โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

แมท—โศภิรัตน์ ‘ผู้หญิง ถือกล้อง’ ผู้ถ่ายภาพนู้ดให้ไปไกลกว่าแค่ศิลปะหรืออนาจาร

The Momentum

อัพเดต 21 พ.ค. 2561 เวลา 08.38 น. • เผยแพร่ 21 พ.ค. 2561 เวลา 08.38 น. • ฉัตรรวี เสนธนิสศักดิ์

In focus

  • แมท—โศภิรัตน์ ม่วงคำ คือช่างภาพนู้ดที่เริ่มถ่ายภาพตั้งแต่ปี 2007 เธอเริ่มต้นจากเป็นแบบภาพนู้ดสมัครเล่นก่อน แล้วพบว่ายังมีอีกหลายมุมที่อยากเล่าด้วยตัวเอง ปัจจุบันเธอเผยแพร่ผลงานในชื่อ ‘ผู้หญิง ถือกล้อง’ เป็นหลัก
  • สำหรับเธอ ข้อถกเถียงเรื่อง นู้ด = ศิลปะหรืออนาจาร? เป็นเรื่องเก่าไปแล้ว นู้ดมีความหมายได้มากกว่านั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ self-esteem จิตวิญญาณ ความบริสุทธิ์ รวมถึงการเยียวยาบำบัด และเธอก็สนใจนู้ดในความเป็นมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย
  • เนื่องจากช่วงเวลาที่คนถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนแปลกหน้า คือช่วงเวลาแห่งการเปิดใจและเชื่อใจกันระดับหนึ่ง เธอจึงใช้เวลาช่วงนั้นในการพูดคุยกับแบบในรูปแบบ nude therapy เพื่อให้คนรู้สึกดีกับตัวเอง หรือร่างกายตัวเอง
  • ในสังคมอย่างประเทศไทย ความเป็นหญิงของเธอมีส่วนเอื้อให้ผู้เป็นแบบสะดวกใจกว่า และทำงานได้ง่ายขึ้นในหลายครั้ง แต่สำหรับสังคมที่การแก้ผ้าเป็นเรื่องปกติ เธอมองว่าเพศสภาพของช่างภาพไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย
  • สิ่งที่เธอต่อสู้ตลอดมาตั้งแต่กลับมาทำงานที่ประเทศไทย คือการรณรงค์ไม่ให้มีการลวนลามนางแบบขณะถ่าย รวมถึงไม่ฉวยโอกาสสแนปภาพในแบบที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งการที่เธอเป็นที่รู้จักจะทำให้คำพูดของเธอมีพลังมากขึ้น

เราผ่านตาพบเธอจากอินสตาแกรม ภายในนั้นบรรจุภาพถ่ายนู้ดหลากรูปแบบหลายสไตล์ แต่ที่เตะตาเป็นพิเศษคือภาพนู้ดที่เธอเซลฟี่ตัวเองอย่างง่ายๆ แต่มันกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและพลังบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรื่อง suxual แน่ๆ

แมท—โศภิรัตน์ ม่วงคำ หรือที่ใครหลายคนรู้จักในนาม ‘ผู้หญิง ถือกล้อง’ คือช่างภาพนู้ดหญิงที่เริ่มทำงานมาตั้งแต่ปี 2007 บันทึกร่างเปลือยของมนุษย์มาแล้วกว่าพันคน และการได้พูดคุยกับเธอก็ทำให้เราได้เปิดโลกแห่งความเปล่าเปลือยมากยิ่งขึ้น

ช่างภาพนู้ดมีอยู่กว่าหมื่นคนในประเทศไทย แต่ด้วยกรอบของสังคมเราจึงแทบไม่รับรู้การมีอยู่ของพวกเขา ซึ่งหากมองว่าช่างภาพนู้ดเป็นที่รับรู้น้อยแล้ว ช่างภาพนู้ดที่ทำงานในเชิงศิลปะก็อาจจะยิ่งน้อยกว่านั้นอีก

เราพบกับแมท ณ งานนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของเธอ ที่ MOST Gallery ณ ตรอกหนึ่งย่านเจริญกรุง บนชั้นสองของแกลเลอรี่ พื้นไม้ดูอบอุ่น เราเห็นภาพชายหนุ่มในสวนสนุกร้าง ซึ่งเขาเล่นราวกับสวนสนุกยังเปิดอยู่ ภาพผู้หญิงวิกผมสีม่วงในตึกเก่าไร้ผู้คน จนถึงเซ็ตภาพนายแบบนางแบบในพื้นที่โล่งกว้าง ในฉากธรรมชาติของเมืองไทยที่เราอาจไม่เคยเห็น หรือไม่เคยคิดแม้แต่จะไปเปลือยร่างที่นั่น

ด้วยการจัดวางที่คิดมาแล้วว่าอยากให้สัมพันธ์กับพื้นที่ เราจึงได้รับสารของแมทอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ และการได้พูดคุยกับเธอหลังจากนั้นเอง ได้ช่วยคลี่คลายความรู้สึกของเราว่าสิ่งที่เพิ่งรับเข้าไปนั้น คืออะไรกันแน่

ภาพถ่ายโดยแมท—โศภิรัตน์ ในชุด Nothing Lasts Forever

ภาพนู้ดภาพแรกๆ ที่คุณเห็นในชีวิตคืออะไร

เราเห็นในโปสการ์ดจากฝรั่งเศส เป็นภาพวาด แล้วก็พวกงานจิตรกรรมฝาผนังในวัดนี่แหละ รูปกินรีบ้าง นางอัปสรบ้าง ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้คือความโป๊เลยนะ แต่ทำไมอยู่ดีๆ พอเราโตขึ้น แค่เราชอบถ่ายเซ็กซี่นิดหนึ่งก็จะมีคนมาทักว่า “ยั่วเหรอ” หรือ “หื่นอะ” ทั้งที่เราไม่เห็นรู้สึกมีอารมณ์กับมันเลย เราแค่ชอบร่างกายของเรา เราชอบผิวหนังตัวเอง

แล้วเราก็ไม่ได้ชอบแค่ผิวหนังคนเป็นๆ ด้วย เวลาว่างเราจะชอบไปศิริราช ไปดูเด็กดอง ดูมัมมี่ หรือไปทำจิตอาสา เก็บศพกับร่วมกตัญญู อะไรแบบนี้

แล้วคุณเริ่มเป็นช่างภาพนู้ดได้อย่างไร

เราพบว่าเราชอบการถ่ายรูป ชอบถ่ายรูปตัวเองด้วย ชอบได้ยินเสียงชัตเตอร์ ชอบเก็บโมเมนต์ตรงนั้นขณะที่ถ่ายอยู่ ไม่ว่าเราจะเป็นแบบหรือเป็นคนถ่ายก็ตาม

แต่ก็ยังไม่ได้ถ่ายอย่างจริงจังนะ เราเรียนจบด้าน computer science แล้วก็ทำงานเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก การวิเคราะห์การตลาด จนในปี 2007 ถึงเริ่มรู้สึกว่าอยากถ่ายภาพให้จริงจังขึ้น โดยก่อนหน้านั้นเราเป็นนางแบบนู้ดสมัครเล่นมาก่อน เพราะอย่างที่บอกว่าเราชอบร่างกายของเรา ทีนี้พอถ่ายแล้วเราก็เกิดคำถามว่า เฮ้ย ทำไมพี่ช่างภาพคนนี้ไม่ถ่ายมุมนี้นะ เราอยากโชว์ในมุมของตัวเองบ้าง เลยตั้งกล้องถ่ายตัวเอง ต่อมาก็เลยรู้สึกอยากถ่ายคนอื่น เราสนใจในความเป็นมนุษย์

การตั้งกล้องถ่ายตัวเองครั้งแรกนั้น คุณรู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นเราแค่อยากเห็นแสงที่มากระทบตัวเอง แค่นั้นเลย แล้วก่อนหน้านั้นที่คนมาว่าเวลาเราถ่ายรูปใส่บิกินี่ หรือเปลือยท่อนบน เรารู้สึกว่า เฮ้ย คุณเป็นอะไรกัน ตอนนั้นเลยลองถอดทั้งหมดไปเลย แล้วเราก็พบว่าการถอดทั้งหมดมันดูโป๊น้อยกว่านะ อีกแง่หนึ่งมันก็เป็นการคลายเครียดของเราด้วย เวลาอยู่บ้านเราก็จะชอบไม่ใส่เสื้อผ้าอยู่แล้ว

จากการถ่ายภาพนู้ดคลายเครียด มันกลายเป็นอาชีพจริงจังในตอนไหน

เริ่มในช่วงปี 2009 ตอนไปเรียนต่อที่เยอรมัน เราก็ถ่ายรูปที่นั่นด้วย ทีนี้องค์กรการท่องเที่ยวของมิวนิกเขาอยากซื้อภาพเรา แล้วการที่เราจะขายภาพได้จะต้องเป็นช่างภาพอาชีพก่อน ดังนั้นเขาก็เลยบรรจุชื่อของเราไปอยู่ในกลุ่มช่างภาพที่ขายงานได้ พอมันมีช่องทางทำงานที่เราชอบแล้วได้เงินด้วย ทำไมเราจะไม่ทำ การถ่ายภาพเลยกลายเป็นอาชีพตั้งแต่ตอนนั้น เราถ่ายทั้งงาน lookbook ถ่ายคอนเสิร์ต ถ่ายพอร์เทรท แล้วเราก็เอางานนู้ดที่เคยถ่ายเอาไว้ตั้งแต่ปี 2007 ลงในแฟนเพจด้วย ก็เลยเริ่มมีคนเห็นว่าเราทำตรงนี้ได้นะ

คือทำในสิ่งที่อยากทำนั่นแหละ โดยที่ไม่ได้รู้แน่ชัดหรอกว่ามันจะถูกเรียกว่าอะไร ครั้งหนึ่งเราได้ไปแสดงงานที่โฟโต้แฟร์ ประมาณปี 2013 ซึ่งผู้บรรยายก็อธิบายงานเราว่านี่คือไฟน์อาร์ตนะ เราก็เพิ่งรู้ว่า อ้อ มันคือไฟน์อาร์ต เพราะเรามาจากอีกสายไง เราเริ่มจากศูนย์ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย แต่เราเป็นคนที่อยู่กับความสงสัยไม่ได้ ก็เลยไปศึกษาเพิ่ม

ภาพจาก THE SECRET OF SKIN นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของเธอ

*สำหรับคุณแล้ว ‘นู้ด’ คืออะไร *

เราอยากบอกว่านู้ดไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ว่าแบบต้องมีซิกซ์แพ็กนะ หรือนู้ดต้องเป็นผู้หญิงนะ แต่เรามองนู้ดเป็นเรื่องของมนุษย์ จิตวิทยา และปรัชญา รวมถึงเป็นการเยียวยาบำบัด (therapy) เราเจอคนเยอะมากที่มองว่าตัวเองไม่สวยหรือดูไม่ดี ซึ่งการที่คุณจะกล้ามาถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนแปลกหน้า มันต้องเชื่อใจกันระดับหนึ่ง แล้วในช่วงเวลาที่เขาเปลือยต่อหน้าเรานั่นแหละ เราสามารถใช้เวลานี้ในการพูดคุยหรือเยียวยาเขาได้ ดังนั้นคนที่ถ่ายนู้ดกับเราทุกคนจะสนิทกับเราหมด

ไม่นานนี้เราก็เพิ่งทำเวิร์กช็อปถ่ายรูปผู้หญิงหลายๆ สัญชาติ มันเป็นงานที่ต้องการกระตุ้นความมั่นใจ และ empower ผู้หญิง ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเป็น nude-therapy จริงๆ พอคนมาถึงเราก็จะถามถึงนู้ดในทัศนคติของเขา บางคนเราก็รู้สึกว่าเขากล้าๆ กลัวๆ เราก็อยากรู้ว่าเขามีอะไรข้างใน แล้วหน้าที่ของเราก็คือการถ่ายทอดสิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นภาพ

เราถ่ายกันมาราธอนมาก คนนี้เข้ามา คุยกัน 5 นาที ถ่ายอีก 25 นาที ถ่ายเสร็จ คนใหม่เข้ามา ก็จะมีคนที่เพิ่งมีลูกแล้วไม่โอเคกับร่างกายตัวเอง ไม่รู้จะก้าวผ่านมันไปยังไง เราก็อยากช่วยให้เขาได้มองตัวเองในอีกมุมหนึ่ง มั่นใจกับร่างกายตัวเองมากขึ้น

แล้วเราก็จะบอกเลยว่างานครั้งนี้จะทำอะไรบ้าง เผยแพร่อย่างไรบ้าง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เราอยากทำให้เคลียร์ ไม่อยากให้มีอะไรคลุมเครือแล้วเขาไม่สบายใจ เพราะความสำเร็จของเราในฐานะช่างภาพที่ถ่ายคนที่ไม่เคยถ่ายนู้ดมาก่อน คือการทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเอง

หรืออย่างในสังคมไทยเอง ถ้าพูดถึงนู้ด หัวข้อที่เราคุยกันก็จะอยู่ที่ นู้ด คือศิลปะหรืออนาจาร ทั้งที่ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 แล้ว แล้วทำไมเรายังไม่ก้าวไปไหนสักที นู้ดมันมีความหมายมากกว่านั้นอีก เราเองสนใจที่ว่านู้ดคือความบริสุทธิ์ (purity) และนู้ดคืออิสรเสรี เพราะเรารู้สึกว่าการไม่มีเสื้อผ้าคืออิสระ แล้วมันยังเป็นความไม่แบ่งแยกด้วย นู้ดสามารถพูดอะไรได้มากกว่านั้นเยอะ

หลังๆ เราเลยพยายามไม่พูดคำว่าศิลปะ เพราะไม่อยากให้คนมาดีเบตกันแค่ว่านี่คือศิลปะหรืออนาจาร แต่เราพยายามให้คนเปิดใจแล้วก็เข้ามาดูกันเอง ว่าสำหรับคุณ มันคืออะไรกันแน่

ภาพจากนิทรรศการ THE SECRET OF SKIN

*ปัจจุบันคุณก็ยังเซลฟี่นู้ดอยู่บ่อยครั้ง มันคือการสื่อสารอะไรออกไปบ้าง นอกจากความชอบร่างกายตัวเอง *

สมัยก่อน เรามองมันเป็นไดอารี่ วันนี้ฉันรู้สึกแบบนี้ วันนี้ฉันมาเที่ยวที่นี่ วันนี้มีความสุข วันนี้เศร้า มันคือการบันทึกชั่วขณะนั้น แล้วหลังๆ ก็เริ่มเป็นการทดลองบ้าง เราอยากรู้ว่าภาพแต่ละแบบจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างไรบ้าง เราค่อนข้างสนใจความคิดของคน

ซึ่งรีแอคต์คนสำหรับเซลฟี่นู้ดของเราก็มีหลายแบบนะ คือคนส่วนใหญ่จะชอบงานนู้ดเวลาเราถ่ายแบบนั่นแหละ แต่เขาจะรู้สึกว่าที่เรานู้ดตัวเองมันบียอนด์กว่านั้น เราก็จะบอกทุกคนว่าบางทีเราไม่ได้ซีเรียสว่าใครเป็นแบบ เราแค่อยากเอาภาพในหัวออกมาให้ได้ บางทีความคิดมันมาในโมเมนต์นี้ เราชอบแสงตอนนี้ แต่ไม่มีแบบ เราก็ใช้ตัวเอง

เราเลือกแคร์ความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก เมื่อก่อนการที่เราสนใจความรู้สึกคนอื่นมากๆ เราก็จะหลงทางเอง แต่ทุกวันนี้ หลายครั้งที่เราเห็นรีแอคต์คนอื่นที่ทำให้เราไม่สบายแล้วเราก็ไม่ได้สนใจมากหรอก

การที่คุณเปิดเผยเนื้อหนังออกไปสู่คนหมู่มาก มันทำให้คุณถูกคุกคามทางเพศบ้างไหม

ก็มีบ้าง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ เอาที่สงบๆ เลย เราก็จะไม่ตอบข้อความ ไม่ยุ่งเกี่ยว บล็อกทิ้งไป เราว่าการไปยุ่งมากมันก็ไม่จบไม่สิ้น เราเลือกให้ตัดขาดจากกันไปเลยดีกว่า

คุณเองชินกับมันบ้างหรือเปล่า

ไม่ชินหรอก เราว่าผู้หญิงทุกคนไม่มีคำว่าชิน กับการที่คนแยกแยะไม่ออกระหว่างงานของเรา กับการยั่วยุทางอารมณ์ แต่เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ หรือตีกรอบความคิดคนอื่นได้ ดังนั้นเราต้องยอมรับมัน แต่ความต่างคือเราจะตอบรับมันยังไงมากกว่า เราก็มีน้อยใจบ้างนะ แต่เราต้องเลือกว่าเราจะทำยังไง จะหนีเหรอ? ถ้ามัวน้อยใจแล้วไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบมันจะดีเหรอ เราเลยเลือกทำในสิ่งที่เราเชื่อและปล่อยให้เวลาพิสูจน์เอง

ในการเป็นช่างภาพนู้ด ความเป็นหญิงของคุณส่งผลในการทำงานอย่างไรบ้าง

ถ้าในยุโรป ช่างภาพเป็นเพศไหนมันไม่สำคัญเลย เพราะเขาแก้ผ้ากันเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างในไทย หรือโซนอเมริกาเอง การแก้ผ้าไม่ใช่เรื่องปกติ มันยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย พอมีกฎหมายบังคับอยู่มันเลยส่งผลต่อความคิดของคนด้วยเหมือนกัน ว่าการเห็นหัวนมหรือการแก้ผ้าเป็นเรื่องไม่ดี มันคือความอนาจาร มันคือเรื่องเพศ

ดังนั้นการเป็นผู้หญิงของเราที่ทำงานในประเทศไทย เราก็พบว่าทำให้แบบรู้สึกสะดวกใจกว่า ทำให้เขาเชื่อใจเราง่ายขึ้น อีกส่วนหนึ่งความเป็นผู้หญิงมันก็จะมีความเอาใจใส่บางอย่าง มีความละเอียดอ่อนในจุดที่คนอื่นอาจไม่ได้ให้ความสำคัญ ยิ่งหลังๆ พอเราสนใจ nude-therapy เราอยากรู้เรื่องราวของเขาแต่ละคน เราก็จะค่อยๆ คุยกับเขา ถ่ายเสร็จทุกคนแทบจะร้องไห้ เวลาเราไถ่ถามเขาว่าคุณเป็นแบบนี้ใช่ไหม เพราะอย่างนี้หรือเปล่า มัน touch ความรู้สึกเขา มันจึงไม่ใช่แค่การทำให้เขาแก้ผ้าต่อหน้าเราได้ แต่มันคือการทำให้เขาเปิดใจกับเราได้ด้วย

แล้วเราก็ชอบถ่ายคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่นายแบบนางแบบอาชีพ เพราะในตาเขามีความอินโนเซนท์บางอย่าง ซึ่งเวลาที่เขาอึดอัดมันจะออกมาทางสายตา ถ้าเจอแบบนี้เราก็จะให้เขาพักก่อน แบบนี้เราก็ถ่ายไม่ได้นะ เพราะเขายังมีกำแพงอยู่ เราเลยอยากให้ช่างภาพและแบบเชื่อมกันมากๆ ตรงนี้ความเป็นหญิงของเราก็มีส่วนช่วย

แล้วมีการถูกกีดกันบ้างไหม สำหรับการเป็นช่างภาพหญิงในวงการภาพนู้ดบ้านเรา

ไม่เชิงกีดกันนะ แต่ด้วยความเป็นหญิงของเราที่จะเข้าถึงแบบได้มากกว่า อาจจะมีหมั่นไส้ว่าแบบเยอะจัง (หัวเราะ) แต่ด้วยคาแรกเตอร์เราไม่ใช่คนอ่อน ใครแซะมาก็อาจจะมีไม่น่ารักกลับบ้าง เลยไม่มีใครวุ่นวายกับเราเท่าไหร่

น้ำหนักตัวเคยเป็นอุปสรรคในการนู้ดหรือเปล่า

ที่เราเคยผอมแล้วอ้วนขึ้นน่ะเหรอ ไม่มีผล เราชอบความเป็นตัวเอง เรามีความสุขกับตัวเอง ไม่ว่าจะน้ำหนักแค่ไหน เราว่าเสน่ห์ของความเป็นมนุษย์คือความไม่เหมือนกัน เราสามารถมองเห็นความน่าสนใจจากเขาได้นอกเหนือจากรูปร่าง ถ้าเราสนใจแต่เรื่องรูปร่างเราคงถ่ายคนที่สวยตามค่านิยม แต่แบบที่เราอยากได้คือเรื่องราวที่น่าสนใจ เราเลือกคนที่เราอยากคุยกับเขา อยากรู้จักประสบการณ์ของเขา แล้วถ่ายทอดตัวตนของเขาผ่านงานของเรา

*อะไรที่เซ็กซี่ที่สุดสำหรับคุณ *

(นิ่งคิด) กำลังคิดอยู่ เพราะส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเกิดอารมณ์เวลาดูภาพนู้ด (หัวเราะ) คนอื่นดูภาพนู้ดอาจจะมองนม ก้น ตามรสนิยมของเขา แต่พอเรามอง เราดูว่าคนถ่ายคิดยังไง แสงเงาเป็นยังไง คอมโพสิชั่นเป็นยังไง มองแล้วเกิดอารมณ์น้อยมาก ต่อให้เขาถ่ายในเชิงเซ็กชวลไปเลย มันก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้อิน

แต่ถ้าถามว่าสัดส่วนไหนของร่างกายที่เซ็กซี่สำหรับเรา ถ้าเป็นผู้หญิงคือต้นคอ สังเกตว่าในภาพผู้หญิงเราจะชอบให้แบบเงยคอ แต่ถ้าเป็นผู้ชาย คงเป็นสายตามั้งคะ เพราะเรารู้สึกว่าเวลาเราจเชื่อมกับใครสักคนในแง่เซ็กชวลมันต้องมีการสื่อสาร เราไม่ได้ว่าซิกซ์แพ็กเซ็กซี่ แต่สายตาที่เขาส่งมาต่างหาก มันบอกเราว่าเขารู้สึกยังไงกับเรา

ความงาม-ไม่งามในงานนู้ด มีอยู่ไหม อย่างไรบ้าง

ความงามของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย อย่างเราจะชอบความธรรมชาติ ถ้าเป็นไปได้รู้สึกว่าก็ไม่อยากให้มีเมคอัพด้วยซ้ำ หรือกระทั่งรอยแตก หน้าท้องลาย ทั้งหมดเราว่ามันงามได้ แต่ถ้าสมมติเป็นงานโฆษณาก็อาจต้องรีทัช หรือความงามในแต่ละพื้นที่มันก็แตกต่างหลากหลาย อย่างเราเองตอนก่อนจะไปเยอรมันก็จะขาว ผิวไม่ค่อยโดนแดด มันคือสวยของที่นี่ แต่ที่โน่นเราโดนเรียกว่าไก่ต้ม ซึ่งมันไม่ฮ็อตเลย

แล้วเราก็ไม่ได้ผิดนะ เพียงแต่เราอาจจะอยู่ไม่ถูกที่ ดังนั้นบางทีเราก็ต้องทำให้เราอยู่ถูกที่ด้วย เรื่องงานก็เช่นกัน ตอนอยู่เยอรมันทุกคนที่ทำงานตรงนั้นจะรู้จักเรา เพราะเราเป็นเอเชียนคนเดียวที่ถ่ายภาพนู้ด แต่พอกลับมาไทย ตอนแรกก็คิดว่า เฮ้ย ประเทศเราเอง มันไม่ยากหรอก แต่สุดท้ายแล้ว โห ยากว่ะ มันก็มีหลายเรื่องที่ประดังประเดเข้ามา เราก็ต้องคิดว่าแบบเราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้จัก

คือการอยากให้คนอื่นรู้จักมันไม่ได้เพื่อตัวเราเองอย่างเดียวนะ เราอยากเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เพราะเรากลับมาเจอกลุ่มช่างภาพที่แต๊ะอั๋งนางแบบ แอบถ่ายสแนปมุมต่างๆ แล้วเรารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ได้น่ะ เขาก็จะมีคำพูดว่า ทำไมล่ะ ก็ถ่ายนู้ด เห็นหมดอยู่แล้ว ทำไมต้องเรื่องเยอะ นั่นแหละ เราเลยอยากให้สังคมรู้ว่าแบบนี้มันไม่โอเค ซึ่งพอเราเป็นโนเนมแล้วอยู่ดีๆ มาพูดเรื่องนี้จะมีใครฟังล่ะ เราก็ต้องเป็นที่รู้จัก เพื่อให้มีคนฟังในสิ่งที่เราพูด การที่เมื่อก่อนเราไปวอร์กับคนอื่นว่าอย่าไปโดนตัวนางแบบสิ แอบสแนปไม่ได้นะ มันคือการต่อสู้ที่มีเราคนเดียว เราเลยต้องการให้สังคมรับรู้ตรงกันด้วย

ทราบมาว่าคุณรับงานถ่ายภาพนู้ดไพรเวทด้วย

ใช่ หลายงานของเราเป็นแบบนั้น มันคือการที่เขาจ้างให้เราถ่ายภาพเขา ซึ่งจะเก็บไว้ดูเองหรือเปิดให้ดูเฉพาะคน ลิขสิทธิ์ภาพจะเป็นของเขา ซึ่งบางคนก็จะมาหาเราเพราะเคยเจอช่างภาพที่ไม่โอเคมาก่อน เช่นเขาเคยเจอช่างภาพที่ไล่เขาไปลดความอ้วนก่อนถ่าย แล้วพอเขามาหาเราด้วยความรู้สึกว่าเขาอ้วน แบบนี้เราก็จะยังไม่รับเหมือนกันนะ

เราก็บอกว่า คนเรามันนานาจิตตัง เรื่องความสวยมันแล้วแต่บุคคล เราห้ามไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกว่าแบบไหนสวยหรือไม่สวย แต่ถ้าแม้แต่ตัวเราเองยังรู้สึกว่าเราไม่สวยละก็ ถ่ายออกมายังไงก็ไม่สวย ดังนั้นมันอาจต้องปรับทัศนคติกันก่อน ถึงจะถ่ายได้

พูดเลยว่าสิ่งที่ยากที่สุดในงานนู้ดคือการทำให้แบบถอดเสื้อผ้า มันเป็นเส้นบางๆ เลย ถ้าถอดได้แล้วคือจบ ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้เขาจะมาถ่ายนู้ดนะ แต่บางทีหน้างานมันก็เกิดความประหม่าบางอย่าง

เคยเห็นว่าคุณมีงานถ่ายนู้ดแบบ bondage (มัดเชือกแบบญี่ปุ่น) ด้วยเหมือนกัน

เราเป็นคนชอบโดนมัดอยู่แล้วค่ะ ก่อนหน้านั้นเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกัน ว่าสิ่งนี้เรียกว่า bondage เหมือนที่เราไม่เคยรู้ว่านี่คือไฟน์อาร์ต แค่เป็นความรู้สึกที่ดี ณ ตอนนั้น เราว่าทุกคนมีวิธีแก้เครียดต่างกัน มันคือรสนิยมส่วนตัว แล้วครั้งนี้เรามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับคนที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้ก็เลยทำ

มันเริ่มจากการที่เราสงสัยว่า ทำไมคนที่ชอบการมัดหรือการถูกมัด ต้องถูกมองว่าวิปริตหรือเป็นโรคจิต ซึ่งเราก็ได้เจอคนหลายสถานะที่ชอบอะไรแบบนี้ เพียงแต่เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวเองเพราะสังคมตีตราสิ่งนี้ไปแล้ว โดยไม่ได้มองกว้างไปกว่านั้นเลยว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ฉลาดไหม มีทัศนคติอย่างไร มองโลกอย่างไร ทำอะไรให้สังคมบ้าง มันกลายเป็นว่าเขาถูกตีตราด้วยเรื่องในห้องนอนของเขา ที่ใครก็ไม่รู้ไปดึงออกมาแล้วนั่งวิจารณ์ แบบนี้ใครควรจะอายกันแน่?

พอเราสงสัยอย่างนั้น แล้วเราก็อยากให้คนที่ชอบแบบนี้ยอมรับตัวเอง เพราะเขาอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนเรา ที่คนเห็นว่าเราถ่ายเซลฟี่นู้ดเหรอ ธรรมดาของมัน เรามัดตัวเองอีกเหรอ ก็เป็นธรรมดาของมัน เราอยากให้สิ่งเหล่านั้นเกิดกับเขาด้วย เลยพยายามใช้ศิลปะหรือองค์ประกอบศิลป์เข้ามาช่วย เซ็ตนั้นก็จะมีชื่อว่า Subconscious จะมีทั้งงานมัด มีนู้ดผู้ชาย ที่มันแหกทุกกฎของการแสดงงานนู้ดในบ้านเรา

ก็มีคนเตือนนะว่า แมท งานนี้คุณอาจจะขายไม่ได้นะ ไม่มีคนซื้อหรอกนะ มันเป็นนู้ดผู้ชาย ไหนจะมีมัดอีก มีงูอีก มันไม่ใช่งานที่คนซื้อ แต่เรามองว่างานนี้เราไม่ได้อยากขายงาน เราอยากแสดงจุดยืนมากกว่า ให้คนเห็นภาพว่ามันเป็นแค่เรื่องรสนิยม ไม่ใช่จิตวิปริต

ทำไมนู้ดผู้ชายถึงขายยาก

หลายๆ คนยังมองว่า ความสวยก็ต้องเท่ากับผู้หญิง มันต้องมีส่วนเว้าส่วนโค้ง มีนม มีก้น ความกลมกลึง ดูแล้วสบายตา แต่เราว่าในงานนู้ดมันเป็นพื้นที่ของความหลากหลายได้มากกว่านั้น เราถ่ายมาแล้วทุกอย่างทั้งหญิง ชาย เกย์ กะเทย เพศใดๆ ก็ตาม ประเด็นสำคัญคือเราจะมารณรงค์ให้ทุกคนเข้าถึงศิลปะได้ยังไง ในเมื่อคุณยังไม่รู้จักความสวยงามในทุกสิ่งเลย

เคยมีฟีดแบ็กจากการถ่ายภาพนู้ด ที่คุณรู้สึกสะเทือนใจไหม

มีครั้งหนึ่งที่เราถ่ายแบบซึ่งเป็นคนทั่วไป แล้วเราก็โพสต์รูปลงไปในเพจ ปรากฏว่าแฟนเขาติดตามเพจเราอยู่ แล้วต่อให้ไม่เห็นหน้าเขาก็จำแฟนของเขาได้ เขาเลยขอให้เราลบรูป ซึ่งสำหรับเราการลบมันเหมือนการที่เราวาดภาพเสร็จแล้วถูกขอให้ทำลายมัน นั่นคือสะเทือนใจที่สุด แต่เมื่อเขาอยากให้ลบเราก็ต้องลบ

หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือการที่คนเคยถ่ายนู้ด ต้องเลิกถ่ายไปเพราะรู้สึกว่าสังคมไม่ยอมรับ นั่นก็ทำให้เราสะเทือนใจค่ะ นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไร

สำหรับคุณแล้วมันแฟร์ไหม ที่พ่อแม่หรือคนรัก จะรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของร่างกายของใครสักคน

บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ เราไม่สามารถไปเถียงเขาได้ เช่นเราเคยถ่ายเด็กในเยอรมัน ซึ่งตามจรรยาบรรณเราจะถ่ายคนที่อายุ 20 ขึ้นไป น้องคนนั้นเขาตามงานเราและรอมาเป็นปีๆ เพื่อให้เขาอายุครบ 20 ปี

แต่พอถ่ายไปแล้ว แม่ของเขาเขียนมาหาเราว่าทำไมยูถ่ายรูปลูกฉันแบบนี้ล่ะ ลูกเขาก็จะรู้สึกว่านี่มันร่างกายของฉัน แม่ไม่มีสิทธิจะมาว่าฉันหรือคนที่ถ่ายรูปฉัน ทีนี้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัวเขาแล้ว คือต่อให้เราสะเทือนใจที่ต้องลบรูป แต่เรารับผิดชอบชีวิตเขาได้มั้ย ก็ไม่ได้ ถ้าเขาต้องทะเลาะกับแม่ หรือเขาเลิกกับแฟนล่ะ มันเป็นเรื่องที่เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่เราก็จะบอกเขาว่า เสียใจนะ

สิ่งสำคัญที่สุดในจรรยาบรรณของช่างภาพนู้ดคืออะไร

การรักษาความลับของแบบ นั่นสำคัญมาก หากเขาไม่ต้องการเปิดเผยเราก็จะห้ามเปิดเผยเด็ดขาดว่าเขาเป็นใคร

คุณมองว่าวงการภาพนู้ดในเมืองไทยในตอนนี้เป็นอย่างไร

จริงๆ คนถ่ายนู้ดในประเทศไทยมีเยอะมากนะ เป็นหลักหมื่น แต่ว่าเป็นนู้ดประเภทไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง พวกเขามีอยู่แต่ไม่ได้ถูกพูดถึงด้วยกรอบของสังคม คนที่จะออกมาอยู่ในแสงก็มีค่อนข้างน้อย ข้อแรกต้องเป็นคนที่ทำงานต่อเนื่องจริงๆ แล้วอีกอย่าง เราว่าคนไทยไม่ค่อยชื่นชมความสามารถของคนอื่น เช่นเวลาไปแสดงงาน ถ้าเป็นงานของช่างภาพต่างประเทศ คนส่วนใหญ่จะยอมรับทันที แต่ถ้าเป็นงานของช่างภาพไทยด้วยกันคนก็จะ- ใครอะ ทำไมอะ แบบนี้

แล้วจริงๆ มันอยู่ที่ความจริงจังของช่างภาพเองด้วย บางคนถ่ายเพราะอยากเป็นช่างภาพ บางคนอยากถ่ายเพราะอยากใกล้ชิดนางแบบ บางคนถ่ายเพราะอยากมีเพื่อน บางคนถ่ายเพราะอยากเป็นศิลปิน มันมีหลายเหตุผล ซึ่งถ้าพูดถึงนู้ดอาร์ตในประเทศไทยเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว มันคือภาพขาวดำ เผยเรือนร่างผู้หญิง เป็นเส้นสายเท่านั้น

มาจนถึงตอนนี้ขอบเขตของคำว่าอาร์ตมันกว้างขึ้นแล้ว แล้วเราเองมองว่าศิลปะคือกระบวนการทำงานด้วย คุณจัดแสงเองไหม คิดคอนเซปต์เองหรือเปล่า เราไม่ได้มองแค่ภาพที่ออกมาตอนจบ เราจึงจัดตั้งกลุ่ม All About Nude ขึ้นมาเพื่อช่วยผลักดันคนที่อยากถ่ายภาพนู้ดในเชิงศิลปะ การสู้คนเดียวมันค่อนข้างยาก การให้คนที่ชอบอะไรเหมือนกันมาช่วยกันมันอาจจะง่ายกว่า

งานของช่างภาพนู้ดคนไหนที่คุณชื่นชอบเป็นพิเศษ

ช่างภาพที่เราชอบหลังจากที่เราเริ่มศึกษาก็คือโจเอล-ปีเตอร์ วิตกิ้น (Joel-Peter Witkin) เขาจะชอบเอาศพมาจัดวางแล้วถ่าย ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วอีกคนก็คืออารากิ (Nobuyoshi Araki)

ส่วนใหญ่เราจะชอบงานของมาสเตอร์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รู้สึกว่าพวกเขามีเรื่องที่อยากเล่า แต่เราก็ชอบที่ตัวงานเป็นชิ้นๆ ไปนะ ไม่ได้หลับหูหลับตาชอบไปทุกงาน บางชิ้นของเขาถ้าเราไม่ชอบก็คือไม่ชอบ คนที่มาดูงานเราก็เหมือนกัน เราก็ไม่ได้อยากให้เขาหลับหูหลับตาชอบ อาจจะมีบางชิ้นที่ไม่ถูกใจเขาเลยก็ได้ ก็ไม่เป็นไร

ส่วนอีกคนที่อยู่ในใจเราคือเรน แฮง (Ren Hang) เราตามงานของเขามาตั้งแต่แรกๆ แล้วครั้งหนึ่งเขามาแสดงงานที่เมืองไทย เราได้เจอกับเขาแล้วก็ได้คุยกัน ตอนนั้นคุยกัน 3 ชั่วโมงเลย เขาก็รู้ว่าเรามีแบบผู้ชาย มีงู เขาบอกว่าอยากได้งูไปถ่าย เราก็เลยมีโอกาสได้ช่วยเบื้องหลังการทำงานของเขาชิ้นนั้น

เขาเสียชีวิตเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ แล้วข้อความสุดท้ายที่เราส่งคุยกันคือช่วงเดือนมกราคม โดยที่เราไม่รู้เรื่องเลยว่าเขาเผชิญอะไรอยู่ พอรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเราก็ช็อก ว่าทำไมเราถึงไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดหรืออยู่ตรงนั้นเพื่อเขาสักนิด เราก็เลยทำงานเซ็ตที่ dedicate ให้เขา ชื่อ With Love for Ren Hang ก็จะใช้ลายเซ็นของเขาในงานนี้ คือปากแดง ตบแฟลชจัดๆ ทั้งที่เราเองไม่ชอบการตบแฟลชเลย

คืองานหลายชิ้นของเรามาจากความไม่สบายใจ ตอนมีความสุขจะคิดงานไม่ออกหรอก ตอนนั้นเรารู้สึกแย่มากๆ เลยต้องทำงานชิ้นนี้ออกมา ประจวบกับที่ตอนนั้นเพื่อนชาวออสเตรเลียแนะนำแบบคนหนึ่งจากสิงคโปร์ให้เรา ซึ่งเราแค่เห็นหน้าเขาก็รู้สึกว่าคนนี้มีอะไร เลยตกลงเลย มาทำด้วยกัน

มาถึงเราก็เล่าให้เขาฟังว่าวันนี้ เราจะทำเพื่อเพื่อนเรา เราต้องการให้ทุกคนเห็นงานนี้แล้วคิดถึงเพื่อนคนนี้ แล้วก็ประจวบเหมาะอีก ผู้หญิงคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้าพอดี จนทำให้เขาต้องออกจากประเทศเพื่อเยียวยาตัวเอง เราก็แบบ ขอโทษนะ แต่คุณช่วยนึกถึงตัวเองตอนเป็นโรคซึมเศร้าให้เราหน่อยได้ไหม เราต้องการให้เขาส่งอารมณ์ให้เรา แล้วเราก็ส่งอารมณ์ไป ให้มันชนกัน แล้วเกิดเป็นงาน

ทุกคนที่เห็นงานก็จะบอกว่า ดูแล้วนึกถึงเรน แฮง ซึ่งใช่แล้ว เราอยากให้คุณรู้สึกแบบนั้น เราทำไปด้วยความคิดถึงล้วนๆ ตอนถ่ายเราก็ร้องไห้ แล้วความรู้สึกก็ยังไม่หมด งานชิ้นต่อไปเราก็พูดถึงความตายอีก เป็นเรื่องราวหลังความตาย ถ่ายกับนางแบบญี่ปุ่นคนหนึ่ง ต้องทำงานสองชุดเราถึงจะคลี่คลายความรู้สึกนั้นออกไปได้

ตอนนี้คุณอยากถ่ายนู้ดใครมากที่สุด

คุณแม่ เพราะเรารู้สึกว่าการที่แม่จะยอมถอดเสื้อผ้าให้เราถ่าย คือการที่เขายอมรับในสิ่งที่เราเป็นมากที่สุด ที่ผ่านมาเราเก็บภาพคนอื่นในฐานะการสื่อสาร แต่กับคนที่สำคัญที่สุดเรายังไม่ได้ทำสิ่งนั้น เพราะเราคือส่วนหนึ่งที่มาจากร่างกายเขา การที่เราจะได้ถ่ายเขาเราว่ามันสำคัญกับชีวิตเรามาก

เคยเกริ่นกับแม่เรื่องนี้หรือยัง

เคยแล้ว แม่ก็บอกว่าต้องจ่ายเงินเยอะหน่อยนะ (หัวเราะ)

Fact Box

  • แมท—โศภิรัตน์ เผยแพร่ผลงานบางส่วนผ่านทางผ่านเพจเฟสบุ๊ก ‘ผู้หญิง ถือกล้อง’และอินสตาแกรม Sophirat_Photoรวมถึงเว็บไซต์ของตัวเองที่  http://sophiratm.wixsite.com/sophiratphotography
  • เธอคือผู้ก่อตั้งกลุ่ม All About Nude ที่จะช่วยจัดหาโลเคชั่น หาแบบ ช่วยเชื่อมโยงคนที่สนใจงานแนวเดียวกันมาร่วมงานกัน เพื่อสนับสนุนคนที่ต้องการถ่ายภาพนู้ดในเชิงศิลปะ รวมถึงช่วยผลักดันให้ศิลปินได้มีพื้นที่แสดงงาน
  • นิทรรศการ THE SECRET OF SKIN ซึ่งเป็นงานแสดงผลงานเดี่ยวของเธอ จัดแสดงที่ MOST Gallery เจริญกรุง 26 จนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 นี้ โดยภาพที่จัดแสดงในนิทรรศการนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในโฟโต้บุ๊กเล่มแรกของเธอในชื่อเดียวกัน—THE SECRET OF SKIN
  • ในเดือนพฤษภาคมนี้ เธอยังเป็นหนึ่งใน 17 ศิลปินของนิทรรศการ ‘Definition of Human./Being./You. - เป็น/อยู่/คือ : มนุษย์’ นิทรรศการแสดงภาพถ่ายและศิลปะจัดวางภายใต้คอนเซปต์ ‘ความแตกต่าง และความเท่าเทียม’ ว่าด้วยเรื่องของ เพศทางเลือก คนผิวสี คนพิการ ฯลฯ จัดแสดงที่ หอศิลป์ กรุงไทย 
0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0