โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

แน่ใจนะว่ารู้สึกผิด? : "ขอโทษแล้วกัน" คำพูดไร้ความหมาย จาก มูรินโญ่ ถึง บาสตี้

Main Stand

อัพเดต 18 ก.ค. 2563 เวลา 12.43 น. • เผยแพร่ 14 ก.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • ชยันธร ใจมูล

การขอโทษนั้น คนเราจะใช้มันก็ต่อเมื่อพวกเขารู้สึกผิดต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เพราะสิ่งนั้นได้ทำให้เกิดความขัดข้องหมองใจกับใครบางคน หรือคนบางกลุ่ม … และเมื่อเราได้เอ่ยคำขอโทษจากใจจริง หลายสิ่งแย่ๆ ก็จะถูกผ่อนคลายให้ทุเลาลงไปจากเดิมไม่มากก็น้อย

 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อมีประโยชน์ คำขอโทษก็ถูกนำมาใช้ในอีกทางได้เช่นกัน เพียงแต่ความหมายปลายทางนั้นต่างกันเยอะ กล่าวคือ "ขอโทษเอาไว้ก่อน" … ที่เหลือจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรม ซึ่งการขอโทษแบบนี้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่มันมีไว้เพื่อเอาหลบหนีความเป็นจริงต่างหาก

นี่คือเรื่องราวเมื่อครั้งที่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เป็นลูกทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ … ณ เวลานั้นเขาได้รับคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าสุดท้ายคำพูดมากมาย แต่ความหมายกลับเท่าเดิม 

 

ไนซ์กายที่ใครก็รัก

นับตั้งแต่คิดจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เป็นคนที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นในการดูแลร่างกายและพัฒนาฝีเท้าของตัวเองมาตลอด ยิ่งกว่านั้นคือเรื่องของทัศนคติที่โตมาแบบมืออาชีพเต็ม 100% และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตลอดชีวิตค้าแข้งของเขาไม่เคยมีประวัติเสียๆ หายๆ เลย มีแต่คนชื่นชมในฐานะตำนานของวงการฟุตบอลเยอรมัน  

เรื่องดังกล่าวยืนยันได้จากครั้งแรกที่เขาเคยทำงานร่วมกับ หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือที่ขึ้นชื่อว่ามีความติสต์ และเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากจนเกินกว่าที่ผู้ร่วมงานด้วยจะคาดเดาอะไรได้ง่าย …

Photo : SPOX

ฟาน กัล เข้ามาคุมทีม บาเยิร์น มิวนิค ที่เป็นต้นสังกัดของ ชไวน์สไตเกอร์ ในช่วงปี 2009 ณ นาทีนั้น บาสตี้ ไม่ใช่แค่ดาวรุ่งแล้ว แต่เขาคือโกลเด้นบอยของวงการฟุตบอลเยอรมัน จากผลงานในฟุตบอลโลกปี 2006 และก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงของเสือใต้ในยุคของ อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ เป็นกุนซือ ทว่า ณ เวลานั้น บาสตี้ แจ้งเกิดในตำแหน่งตัวริมเส้นที่มีสถิติการยิงประตูไม่ธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ฟาน กัล เข้ามาและสร้างอะไรต่างๆ ให้เปลี่ยนไปตามสไตล์ของเขา นักเตะแต่ละคนได้รับโจทย์ของตัวเอง บางคนงงมาก บางคนงงน้อย ซึ่งคนที่งงมากได้แก่กลุ่มนักเตะซึ่งเล่นในตำแหน่งเดิมของตัวเอง แต่อยู่ดีๆ ก็โดนจับเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งใหม่ และ ชไวน์สไตเกอร์ คือหนึ่งในนั้น

ตัวริมเส้นสัญชาติเยอรมันที่ดีที่สุดอย่างเขา โดน ฟาน กัล เปลี่ยนให้มาเล่นตำแหน่งกองกลางตัวห้องเครื่อง ซึ่งนั่นทำให้หลายคนงงว่า ของดีๆ มีอยู่แล้ว ฟาน กัล จะมาซ่อมให้เสี่ยงทำไม 

Photo : The Times

ทว่า บาสตี้ ก็คือ บาสตี้ เขาแสดงทัศนคติที่ยอดเยี่ยมด้วยการรับคำท้าทายนั้น และพร้อมลงเล่นอย่างเต็มใจ … ไม่ใช่ทุกคนที่คิดได้อย่างเขา มีเคสของ ดาวิด อลาบา ที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกดาวรุ่ง และโดน ฟาน กัล สั่งให้ไปเล่นแบ็คซ้าย ซึ่งในรายของ อลาบา นั้นแสดงความไม่พอใจอยู่บ้าง จน ฟาน กัล ที่เป็นกุนซือสไตล์ยอมหักไม่ยอมงอ ต้องส่งเขาให้กับทีม ฮอฟเฟ่นไฮม์ ยืมตัวไปเลย ทว่าที่สุดแล้ว สายตาของ ฟาน กัล ก็ถูกต้อง เพราะ อลาบา กลายเป็นหนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดของโลกไปแล้ว

ทัศนคติที่ดีเปลี่ยนได้ทุกสิ่งนั่นคือเรื่องจริง ชไวน์สไตเกอร์ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในตำแหน่งใหม่ที่ ฟาน กัล มอบให้ ตำแหน่ง "โฮลดิ้งมิดฟิลด์" คือตำแหน่งที่ยังไม่แพร่หลายมากนัก ณ เวลานั้น แต่สุดท้าย บาสตี้ กลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบในตำแหน่งดังกล่าว 

"สำหรับผม การย้ายมาเล่นเป็นตัวกลางนั้นเป็นอะไรที่สำคัญมาก ตอนเด็กๆ ผมเคยเล่นตรงนี้มาก่อน แต่พอเริ่มใกล้จะเล่นอาชีพจึงได้มาเล่นปีก ซึ่งเมื่อได้มาเล่นเป็นตัวกลางนั้น ผมสามารถพาตัวเองเข้าสู่เกมและพยายามเปลี่ยนทิศทางของเกมได้อย่างถูกต้อง" ชไวน์สไตเกอร์ กล่าวถึงบทบาทที่เขาได้รับจาก ฟาน กัล 

จากนั้นทุกคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ชไวน์สไตเกอร์ กลายเป็นผู้เล่นระดับโลกที่ยอดเยี่ยมทั้งฝีเท้าและการปฎิบัติตัว เขาไม่เคยทะเลาะกับโค้ชคนไหน และมีแต่คำชื่นชมในความเป็นผู้นำของเขาเสมอ เรียกได้ว่าเขาคือ "มิสเตอร์ฟุตบอล" ที่ใครก็เกลียดไม่ลงโดยแท้จริง

Photo : Kicker

"นักเตะอย่างเขาประเมินค่าไม่ได้ เขาคือนักเตะที่เสียสละตัวเองเพื่อทีมขาเป็นเหมือนผู้นำทางจิตวิญญาณ แรงจิตและความใจสู้ของเขาสามารถส่งไปยังเพื่อนร่วมทีมได้อย่างไม่น่าเชื่อ" ฮิตซ์เฟลด์ ยังคงจำสิ่งที่อดีตลูกน้องเก่าของเขาเป็นได้เป็นอย่างดี 

ชไวน์สไตเกอร์ กวาดทุกแชมป์ที่ขวางหน้ากับ บาเยิร์น มิวนิค พ่วงด้วยการเป็นแชมป์โลกในฟุตบอลโลก 2014 จากนั้นเขาก็ไม่เหลือความท้าทายในแผ่นดินเยอรมันอีกแล้ว และมันเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีกับที่ ฟาน กัล นายเก่าที่เขาเคารพนับถือได้งานคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การย้ายทีมในฝันของ ชไวน์สไตเกอร์ จึงเกิดขึ้น 

 

ฝัน…สวรรค์ล่ม

"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมเดียวที่ทำให้ผมย้ายออกจาก บาเยิร์น มิวนิค ได้" นี่คือสิ่งที่ ชไวน์สไตเกอร์ เคยบอกด้วยตนเอง

นอกจาก บาเยิร์น แล้ว ก็มี แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นทีมในดวงใจของ บาสตี้ เขาชื่นชอบทีมปีศาจแดงมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยได้รับอิทธิพลมาจาก โทเบียส พี่ชาย และการได้เวลาย้ายออกอย่างประจวบเหมาะ ทั้งเจอกับทีมในฝัน รวมถึงผู้จัดการทีมที่รู้มือกันดีอย่าง ฟาน กัล จึงทำให้การตัดสินใจย้ายทีมมาเล่นให้ ยูไนเต็ด ของเขาเกิดขึ้นอย่างลุล่วง

Photo : Instagram - @tobias_schweinsteiger

ฟาน กัล สั่ง ยูไนเต็ด ปิดดีล ชไวน์สไตเกอร์ ด้วยค่าตัวราว 6 ล้านปอนด์ และค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์ ซึ่งว่ามากเป็นลำดับต้นๆ ของทีม ณ เวลานั้น และมันแน่นอนว่าเขามาที่นี่เพื่อจะเป็นนักเตะตัวหลัก ไม่ใช่มาเพื่อเป็นอะไหล่เท่านั้น 

ทุกอย่างที่ ยูไนเต็ด ผ่านไปไวเกินคาด ชไวสไตเกอร์ ไม่ได้เป็นตัวหลักอย่างที่ใครคาดคิด เพราะอาการบาดเจ็บที่รบกวน อีกทั้ง ฟาน กัล ก็มีระบบทีมแปลกไปมากจากที่เคยทำ บาเยิร์น มิวนิค เดี๋ยวเล่นกองหลัง 5 บางเกมยืน 3 เซ็นเตอร์แบ็ค บางนัดก็ปรับเป็นหน้าคู่ ทำให้ตำแหน่งกองกลางต้องเวียนกันลงเล่นตามหน้างานไปแต่ละเกมๆ แต่อย่างน้อย เขาก็จบซีซั่นแรกด้วยการลงเล่นไปถึง 31 เกมในทุกรายการ อีกทั้งยังอยู่ในชุดคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2015-16 อีกด้วย … ถือว่าเป็นปีแรกที่ไม่เลวนักสำหรับการเล่นในต่างแดน  เพียงแต่ว่าเรื่องราวมันผิดแผนไปนิด เพราะหลังจากฉลองแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ไม่กี่วัน ฟ้าก็ผ่าลงที่ หลุยส์ ฟาน กัล 

Photo : Twitter - @BSchweinsteiger

บอร์ดบริหารของทีมไม่พอใจกับผลงานในสนาม ทั้งในแง่ของสไตล์การเล่นและความสำเร็จ ที่ไม่อาจจบท็อป 4 พาทีมไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ จึงทำให้เลือกปลด ฟาน กัล ออกจากตำแหน่ง และเอา โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือที่ไม่ว่าจะคุมทีมไหนก็ตาม เขาสามารถพาทีมๆ นั้นคว้าแชมป์ลีกได้เสมอ … และการมาของ มูรินโญ่ ครั้งนี้ ก็ทำให้สวรรค์ของ บาสตี้ ล่มลงโดยสมบูรณ์แบบ 

 

ไม่มีที่ไหนทำกับเขาแบบนี้

แม้จะมีศักดิ์ศรีแชมป์โลกค้ำคอ แต่ มูรินโญ่ ไม่เคยสน มันคือเรื่องของสไตล์การทำทีมที่ มูรินโญ่ เชื่อมั่นเป็นอันดับ 1 … ซึ่งจะว่าอย่างนั้นก็ไม่แปลก ตำราพิชัยยุทธ์ของ มูรินโญ่ ณ นาทีนั้นคือของจริง ไม่ว่าจะไปคุมทีมไหนก็ได้แชมป์ได้ติดไม้ติดมือ จนกลายเป็นหนึ่งในกุนซือที่ถูกเรียกว่า "ดีที่สุดในโลก" ซึ่งตำราฉบับ มูรินโญ่ นั้นไม่มีที่ว่างให้นักเตะอย่าง ชไวน์สไตเกอร์ 

ในวัย 31 ปี ถือว่าไม่มากเกินไปนักสำหรับนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ ทว่าในกรณีนี้ บาสตี้ แก่เกินไปและเปราะบางเกินไปสำหรับตำแหน่งห้องเครื่องในทีมของ มูรินโญ่ ย้อนอดีตกลับไปดูนักเตะในตำแหน่งนี้ของเขาตลอดช่วงเวลาก่อนหน้านี้ มักจะเป็นนักเตะที่มีศักยภาพร่างกายดี ขึ้น-ลง เล่นรุก-รับ ได้ตลอดทั้งเกม โดยเฉพาะในส่วนของเกมรับนั้นยิ่งเก่งเท่าไหร่ยิ่งดี 

มูรินโญ่ ชื่นชอบนักเตะแบบนี้มากกว่า นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เขาเลือกใช้ ไมเคิล เอสเซียง ตอนคุม เชลซี รอบแรก, ใช้ เอสเตบัน คัมบิอัสโซ่ ตอนอยู่กับ อินเตอร์ และใช้ ซามี่ เคห์ดิร่า ตอนพา เรอัล มาดริด เป็นแชมป์ ลา ลีกา สเปนฤดูกาล 2011-12 

Photo : Sporx

เมื่อไม่ชอบก็ไม่ใช้ มูรินโญ่ เป็นกุนซือเช่นนั้น และเมื่อไม่ใช้ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม? อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น บาสตี้ ค่าเหนื่อย 2 แสนปอนด์ มากเอาเรื่องสำหรับตัวที่ใช้งานไม่ได้ นั่นจึงทำให้ มูรินโญ่ เริ่มทำในสิ่งที่คนรัก ชไวน์สไตเกอร์ รับไม่ได้ … มันไม่ใช่แค่การไม่ให้ลงสนาม แต่มันคือการตัดออกจากทีมไปเลย ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งนั่งบนม้านั่งสำรอง และไม่มีโอกาสแม้กระทั่งซ้อมกับทีมชุดใหญ่

ประเด็นดังกล่าวร้อนแรงมากจนมีการลือกันว่า บอร์บริหารของปีศาจแดงก็เอาด้วยกับเรื่องนี้ เพราะต้องการลดเพดานค่าเหนื่อยนักเตะโดยรวม นั่นจึงทำให้หลายคนมั่นใจว่าการตัดสิทธิ์ทุกอย่างแบบหมดศักดิ์ศรีแชมป์โลก เป็นการทำเพื่อบีบให้ ชไวน์สไตเกอร์ ย้ายออกจากทีมไปเอง … ซึ่งปลายทางคนที่จะมาแทนเขาและรับค่าเหนื่อยส่วนนี้ไปก็คือ ปอล ป็อกบา ที่เพิ่งย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติโลก ณ ตอนนั้น 89 ล้านปอนด์นั่นเอง 

"ผมแทบไม่อยากจะเชื่อ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่บาเยิร์น ไม่มีทางที่เราคิดจะทำเรื่องแบบนี้ นี่เป็นการกระทำที่ชัดเจนว่า พวกเขาต้องการบีบให้ บาสตี้ ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร ตามกฏผู้เล่นทุกคนในทีมชุดใหญ่จะต้องได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่ มันไม่ควรเลยที่จะถูกส่งลงไปเล่นกับทีมสำรอง หรือแยกซ้อมเดี่ยวเช่นนี้" คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ซีอีโอของ บาเยิร์น ถึงกับเดือดแทน ชไวน์สไตเกอร์ 

Photo : Twitter - @BSchweinsteiger

ความจริงมันควรจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่โค้ชเลือกนักเตะที่เขาต้องการ และตัดนักเตะที่พวกเขาไม่ใช้ ทว่าในกรณีของ ชไวน์สไตเกอร์ นั้น มันเป็นเรื่องเกินที่ใครจะมองข้าม เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ไม่ว่า มูรินโญ่ จะตอบสื่อด้วยการบอกว่าเขาขาดคุณสมบัติไหน ทำไมจึงไม่ใช้งาน ชไวน์สไตเกอร์ ก็ไม่เคยออกมาบ่นหรือว่าร้ายให้ใครสักครั้งเดียว

สิ่งที่เขาทำคือ "นิ่งสงบ" และทำในสิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพต้องทำ แม้จะไม่ได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่ แต่ บาสตี้ ก็ไม่เคยขาดซ้อม แม้ทีมจะลงแข่งขันโดยที่ไม่มีเขาทั้งใน 11 ตัวจริงและตัวสำรอง เขาก็ยังมาชมเกมในสนามและให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีม

 

ขอโทษ แต่เหมือนเดิม 

การกระทำดังกล่าวส่งผลให้กระแสตีกลับเล่นไปที่ มูรินโญ่ อย่างหนัก หลายคนสงสัยว่า ชไวน์สไตเกอร์ ไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้หนักหนาจึงได้โดนหมางเมินขนาดนี้ มูรินโญ่ ก็ตอบได้คำเดียวว่า 

"ขอโทษด้วยถ้าทำให้ใครไม่พอใจ ผมก็แค่ตัดสินใจตามปกติ มันเป็นมาตรฐานของโค้ชทุกๆ คน สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุการณ์ที่พบได้ในทุกสโมสรทั่วโลกอยู่แล้ว ผู้จัดการทีมทุกคนก็ย่อมอยากมีทีมชุดใหญ่ของตนเองทั้งนั้น" มูรินโญ่ ขอโทษแต่ปลายทางไม่เปลี่ยนแปลง บาสตี้ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมต่อไป 

ทว่าการแข็งกร้าวของ มูรินโญ่ ที่ไม่เคยยอมใคร ตัดสินใจเอาไว้แบบไหนต้องทำแบบนั้น กลับโดนกัดกร่อนด้วยความเป็นไนซ์กายแบบเหลือเชื่อของ ชไวน์สไตเกอร์ ทุกครั้งที่ออกมาให้สัมภาษณ์ เขาหล่อจนชนิดที่ว่าทุกคนต้องออกมาเรียกร้องให้ มูรินโญ่ เปิดโอกาสให้ บาสตี้ บ้าง สุดท้ายก็เกิดสิ่งที่มีไม่บ่อยนัก นั่นคือ มูรินโญ่ ขอโทษนักเตะที่ไม่เหลียวมอง เขารู้สึกผิดที่ทำแบบนี้ เขายอมแพ้ความดีและเรียก ชไวน์สไตเกอร์ กลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกครั้ง

Photo : Daily Record

"วันศุกร์จะเรียกตัวเขา และให้มาซ้อมกับทีมในวันจันทร์ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นจากพื้นฐานข้อมูลที่เราเช็กมาตลอด ณ ช่วงเวลานี้ นักเตะทุกคนจะได้ซ้อมในรูปแบบที่แตกต่างกัน รวมถึง บาสเตียน ด้วย"

"ทิศทางที่ บาสเตียน ทำงานกับเรานั้น มีความเป็นมืออาชีพ ทุกวันเขาทำงานร่วมกับโค้ชฟิตเนส เขาจะอยู่ในสภาพที่พร้อมสมบูรณ์ในกรณีที่ตัดสินใจจะไปจากทีม แต่ถ้าเลือกที่จะอยู่กับเราและหวังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ถึงตอนนี้เราจะยังไม่มีปัญหาในแดนกลาง แต่ถ้ามีปัญหา เขาก็จะได้รับโอกาสนั้น"

มูรินโญ่ พูดเหมือนเป็นสัญญาณดี ทว่าความจริงนั้นไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก มูรินโญ่ ใช้ ชไวน์สไตเกอร์ ในแบบเสียไม่ได้ และเลือกใช้เพราะลดแรงกดดันที่เกิดขึ้นมากกว่า เพราะเขาได้ลงเล่นแค่ในช่วงท้ายเกม หรือไม่ก็ลงเล่นในเกมบอลถ้วยอย่าง ลีก คัพ และ ยูโรปา ลีก เท่านั้น สิริรวมแล้วเป็นจำนวนทั้งหมดแค่ 4 เกมตลอดทั้งซีซั่น … นั่นไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย 

"มันไม่ง่ายเลยนะที่คุณต้องซ้อมคนเดียวตลอด 3 เดือน จนได้กลับมาลงเล่นอีกครั้ง แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ตัวจริงก็เถอะ" ชไวน์สไตเกอร์ ยังคงพอใจกับสิ่งเล็กๆ ที่เขาได้รับ แต่ความจริงที่หนีไม่พ้นคือ เขากลายเป็นนักเตะถูกลืมจนกระทั่งวันสุดท้ายในฐานะผู้เล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด คำขอโทษของ มูรินโญ่ ที่เกิดขึ้นกับเขามีถึง 2 ครั้ง และมันเพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้งในวันที่ ชไวน์สไตเกอร์ เลือกจะย้ายไปเล่นให้กับ ชิคาโก้ ไฟร์ 

Photo : AS

"ผมขอโทษสำหรับบางสิ่งที่เคยทำกับเขา ผมไม่ต้องการจะพูดถึงเขาในฐานะนักเตะในตลาดซื้อขายหรือแม้กระทั่งความเป็นมืออาชีพ ผมอยากจะขอโทษเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง … นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะมอบให้เขาได้ก่อนที่เขาจะลาทีมไป"

"ผมทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับคุณ แต่ตอนนี้ผมว่าผมทำถูกต้องแล้ว" มูรินโญ่ กล่าวหลังจากที่ปล่อยให้ ชไวน์สไตเกอร์ ย้ายไปค้าแข้งในสหรัฐอเมริกา 

ขณะที่ฝั่ง ชไวน์สไตเกอร์ เองก็ยังหล่อจนวินาทีสุดท้าย แม้วันที่เขาไม่ใช่นักเตะของ ยูไนเต็ด แล้ว เขาก็ไม่เคยว่ากล่าวให้ร้าย มูรินโญ่ เลยแม้แต่ครั้งเดียว … แม้จะถูกกระทำขนาดนั้น แต่เขาพูดถึง มูรินโญ่ ด้วยความชื่นชมเสมอ 

Photo : beIN SPORTS

"ผมได้มีเวลาสนทนากับทาง โชเซ่ มูรินโญ่ และเขาเองก็มีความคิดของเขา ผมเคารพในการกระทำของผู้จัดการทีม และผมพยายามแสดงออกถึงสปิริตของผมเองในฐานะนักเตะอาชีพ"

"ผมเองยังอยากอยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ดนะ แต่ว่าผมนั้นโชคร้ายเกินไป ที่มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับผม ผมยังอยากซ้อมกับทีม และลงเล่นให้ แต่ว่าผมจำเป็นต้องย้ายออกมาในสโมสรที่ผมจะสามารถลงเล่นได้อย่างต่อเนื่อง และมั่นใจในตัวผม" ชไวน์สไตเกอร์ ร่ายยาวในวันทิ้งท้าย 

Photo : Twitter - @FCBayernUS

มีไม่บ่อยนัก กับนักเตะที่ทนให้ มูรินโญ่ โขกสับอยู่นานโข แต่ไม่เคยแสดงอาการโกรธ และอีกเช่นกัน มีนักฟุตบอลไม่กี่คนที่ มูรินโญ่ เคยกล่าวคำว่าขอโทษถึง 3 หน … แม้มันจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในบั้นปลาย แต่สุดท้ายเราก็ได้รู้ว่าการสุภาพกับทุกคนนั้นส่งผลดีอย่างไร … พยายามให้เต็มที่นั้นย่อมดีกว่าการสะเพร่าจนต้องมาขอโทษทีหลังอยู่แล้ว 

ข้ามเวลากลับมา ณ ปัจจุบัน ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อดีตต้นสังกัดของ ชไวน์สไตเกอร์ กำลังต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งท็อป 4 ของพรีเมียร์ลีกลุ้นกันแบบนัดต่อนัด ซึ่งหาก บาสตี้ เลือกที่จะอยู่กับทีมปีศาจแดงต่อ และยังไม่แขวนสตั๊ด ก็คงได้ช่วยทีมในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ไม่มากก็น้อย

แต่ที่ดูจะช่วยลำบาก คงเป็นแฟนบอลอย่างเราๆ เพราะการต้องตามผลการแข่งขันกันหลายๆ คู่ ทั้งเชียร์ทีมรัก แช่งทีมคู่แข่งในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหา "ตามไม่ทัน" ขึ้นมาแน่ๆ 

แต่ทุกปัญหามีทางออกและปัญหานี้จะหมดไปเมื่อคุณเข้าชมการรายงานผลการแข่งขันแบบ Real-Time สด, รวดเร็ว, แม่นยำที่สุด จาก LIVESCORE แพลตฟอร์ตรายงานผลฟุตบอล ซึ่งอยู่คู่คอลูกหนังทั่วโลกมายาวนานนับตั้งแต่ปี 1998 ที่มีให้เกาะติดผลฟุตบอลแทบทุกลีกทั่วโลก ไล่ตั้งแต่ลีกใหญ่อย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, กัลโช เซเรีย อา อิตาลี, ลีกเอิง ฝรั่งเศส, บุนเดสลีกา เยอรมัน และ ลาลีกา สเปน หรือแม้แต่ ลีกอิสราเอล คุณก็ไม่พลาด! แน่นอน หากคุณเป็นคอบอลไทย … ไทยลีกก็มีเช่นกัน! 

ห้ามพลาดที่ livescore.com ที่เดียวเท่านั้น 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.independent.co.uk/sport/football/premier-league/manchester-united-jose-mourinho-bastian-schweinsteiger-apology-a7660256.html
https://www.dreamteamfc.com/c/news-gossip/382561/jose-mourinho-bastian-schweinsteiger-louis-van-gaal/
https://www.telegraph.co.uk/football/2017/03/31/jose-mourinho-admits-regret-treatment-bastian-schweinsteiger/
https://www.balls.ie/football/jose-mourinho-bastian-schweinsteiger-nonsense-341412

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0