โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธรรมะ

แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว....

LINE TODAY

เผยแพร่ 21 ม.ค. 2562 เวลา 10.33 น.

“แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว” คำพูดนี้เป็นประโยคที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจถึงแก่นอย่างถ่องแท้ของคำ ๆ นี้กันบ้าง

ตามธรรมชาติของคนเรา เมื่อเจอปัญหาก็มักจะร้อนรน อยากรีบแก้ให้มันจบ ๆ ไป แต่ปัญหาบางอย่างก็อยู่กับเรานานสองนาน ไม่จบไม่สิ้นซักที ได้แต่ทำให้เราเป็นทุกข์ แบกกันไปเรื่อย ๆ แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้ คิดวนไปเวียนมาไม่รู้จบ กลายเป็นความทุกข์ที่อยู่ในใจไม่ยอมหายไปไหน

เพราะบางครั้ง บางคนก็ไม่รู้ว่าบางปัญหาไม่ได้มีไว้แก้ แต่มีไว้ให้ยอมรับ ปล่อยวาง และอยู่กับมันให้ได้ คือคิดไปก็เท่านั้น กลุ้มไปก็เท่านั้น สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือทำใจยอมรับว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว จากนั้นก็ใช้ชีวิตของเราต่อไปโดยไม่ต้องไปกลัดกลุ้มกับปัญหาพวกนั้นอีก

เรื่องแบบนี้ พูดง่าย ทำยาก…แต่ลืมไปหรือเปล่าว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำเสียมากกว่า จริง ๆ แล้วจะทุกข์หรือสุข อยู่ที่ใจของเรา เราเองเป็นคนเลือกว่าจะจมอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อย ๆ หรือปลดปล่อยตัวเองไปพ้นจากความทุกข์เหล่านั้นไป

ทำไม “ไม่ทุกข์” = “สุข”

เพราะสุขเกิดจากทุกข์ที่น้อยลง คนเราพยายามขวนขวายหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้ทุกข์น้อยลง สุดท้ายเมื่อทุกข์ดับ จิตก็กลายเป็นสุข แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะสิ่งที่คนเราแสวงหาแทบจะตลอดเวลาก็คือความสุข ที่อยากมีสุขก็เพราะไม่อยากเป็นทุกข์ ทำยังไงก็ได้ให้มีความสุขเอาไว้ก่อน คิดไปเองต่าง ๆ นานาว่าทำโน่นแล้วจะมีความสุข ทำนี่แล้วจะมีความสุข โดยไม่รู้เลยว่าการตะเกียกตะกายแบบนี้นี่เอง คือต้นเหตุของความทุกข์ที่จะตามมา และไม่รู้ด้วยว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร

ทั้งที่จริงแล้ว ความสุขส่วนใหญ่เกิดจากกิเลส ตัณหา ราคะ เช่น ความสุขที่อยากให้ตัวเองสมปรารถนา ก็มาจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็นด้วยกันทั้งนั้น แถมคนเรายังมีความต้องการไม่สิ้นสุด ได้แล้วก็อยากจะได้อีก เป็นความสุขที่ไม่รู้จักพอ แล้วแบบนี้จะเรียกว่า “สุข” ได้อย่างไร

คำว่า “สุข” ที่เราพูดถึงกันอยู่นี้ ไม่ใช่สุขที่เกิดจากการได้โน่น ได้นี่ตามที่หวังตั้งใจ แต่เป็นสุขที่อยู่เหนือสุข-ทุกข์ของโลกียะทั้งปวง เป็นความสุขที่เกิดจากจิตเห็นโทษของทั้งทุกข์และสุข จึงไม่เอาทั้งสองอย่างเข้ามาใส่ตัว จิตก็เลยปลอดโปร่ง โล่งเบา เป็นอิสระและเป็นสุขที่แท้จริง ซึ่งก็คือความว่างเปล่า ว่างเว้นจากความมีตัวตน ว่างเว้นจากการมีสรรพสิ่ง ไม่มีเรา ไม่มีของของเรานั่นเอง

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0