เอะอะไล่ออกนอกประเทศ! “ไทย” วิจารณ์ “ไทย” ไม่ได้ แล้วจะเจริญได้ยังไง?
“ไม่ชอบก็ออกไป”
“ทำไมไม่มองด้านดีประเทศเราบ้าง”
“คนไทยหรือเปล่า”
ประโยคเหล่านี้มักถูกหยิบยกขึ้นมาใช้งานอยู่เสมอเวลามีใครสักคนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงด้านที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก ยกตัวอย่างตอนที่นักร้องสาวคนหนึ่งรอรถเมล์นานจนอารมณ์ร้อน ถึงขั้นพิมพ์ลงทวิตเตอร์ด้วยข้อความอันเผ็ดร้อน ที่เธอโดนกระหน่ำในโซเชียลเน็ตเวิร์กไปหลายวันด้วยข้อความที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น
แต่เราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายใต้ความหัวร้อนของเธอนั้นก็ยังคงมีประเด็นที่ไม่ได้รับการแก้ไขมานานแล้ว นั่นคือเรื่องของ “รถเมล์” ขนส่งมวลชนระดับพื้นฐานในกรุงเทพฯ ที่ยังคงขาดประสิทธิภาพ ด้วยสภาพรถที่บุโรทั่ง ป้ายรถเมล์ที่ไม่ชัดเจน รวมถึงมารยาทการขับรถ สิ่งเหล่านี้ก็ควรถูกนำมาขบคิดเช่นกัน ว่าเมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น
นี่คือตัวอย่างที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดของความเสี่ยงที่จะถูกล่าแม่มด เมื่อเราวิจารณ์ด้านลบของประเทศนี้ บางเสียงอาจบอกว่า ทำไมไม่มองด้านดีแล้วมีความสุขกับมัน
ในความเป็นจริงแล้วการมองแต่ข้อดีเพื่อมากลบข้อเสียของประเทศเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะข้อเสียเหล่านั้นจะยังคงอยู่ เหมือนเราคบกับแฟนหนึ่งคนคงจะมองข้อดีของเขาไปตลอดไม่ได้ นิสัยเสียบางอย่างที่กระทบต่อชีวิตคู่ก็ควรได้รับการแก้ไขเช่นกัน ไม่งั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับการหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าความสัมพันธ์ของเรานั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน
ยกตัวอย่างในคลิปนี้ https://www.facebook.com/VogueThailandOfficial/videos/295561304380068/ ที่พาดคำบรรยายใต้คลิปว่า…
สละเวลาดูแค่ 4 นาที แล้วคุณจะเห็นอีกด้านของเมืองไทย! "ไม่อยากอยู่ในประเทศนี้แล้ว… รถก็ติด คอรัปชั่น ระบบการศึกษา ปัญหาคนจน เมืองไทยไม่มีอะไรดีเลย"
ในคลิปได้บรรยายถึงปัญหาในประเทศที่เราทราบกันดี และเลือกที่จะไปถามชาวต่างชาติที่มาเที่ยวบ้านเราว่าเมืองไทยนั้นมีดีอย่างไร (ซึ่งจริงๆ แล้วการไปถามนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นหลักเป็นฐานก็นับว่าเอาเทียบกันไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก) ปิดท้ายด้วยการให้คนไทยเชียร์ไทยด้วยกันเอง
ประเด็นนี้มองเผินๆ ก็นับว่าเป็นการให้กำลังใจที่ดี แต่ปัญหาที่บรรยายไว้ตอนแรกก็เหมือนเดิม ทั้งรถติด สายไฟยุ่งเหยิง นักการเมืองคอร์รัปชั่น ฯลฯ ไม่ว่าจะยกข้อดีมาอีกร้อยข้อ ปัญหาก็ยังอยู่เหมือนเดิม
เราหวังให้ต่างชาติมาพูดด้านเสียกันเหรอ? ถ้าเราเมินเฉยต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากคนในบ้านของเรา และยังคงมัวแต่ไล่ให้คนเหล่านั้นไปอยู่ต่างประเทศ มันก็ไม่ต่างอะไรกับซุกปัญหาไว้ใต้พรม
สุดท้ายแล้วถ้าเราเอา “คำวิจารณ์” เหล่านั้นมานั่งพินิจถึงข้อเสียเพื่อเอามาปรับปรุงแก้ไขชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้ คนที่รับผลกระทบก็คือพวกเรากันเองทั้งนั้น เราก็ยังคงอยู่ในวงจรเดิมๆต่อไปเรื่อยๆ อาจจะอีก 50 หรือ 1,000 ปีแบบที่น้องคนนั้นพูดก็ได้