โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

"เอนเนอจี ไชน่า" จับมือ "บีกริม" ผุดโรงไฟฟ้าไฮบริดในสนามบินอู่ตะเภา

ไทยรัฐออนไลน์ - Economics

เผยแพร่ 21 ก.พ. 2562 เวลา 01.01 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

“เอนเนอจี ไชน่า” บิ๊กธุรกิจพลังงานจีนจับมือบีกริม ทุ่มงบ 3,600 ล้านบาท ลงทุนโรงไฟฟ้าไฮบริด ป้อนระบบไฟฟ้าให้สนามบินอู่ตะเภา “สมคิด” จับเข่าเห่กล่อมชวนให้ลงทุนในอีอีซีเพิ่ม เผยเตรียมเงินไว้ 3,100 ล้านบาท ขยายการลงทุนในโครงการอื่นๆ การันตีเป็นจุดเชื่อมโยงไทยกับเกรตเตอร์เบย์ในฮ่องกงได้

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังหารือกับนายเฉิน จี้ปิง ประธานบริษัท China Energy Engineering Corporation หรือเอนเนอจี ไชน่า “Energy China” รัฐวิสาหกิจพลังงานรายใหญ่ของประเทศจีน ว่า Energy China ได้ร่วมมือกับบริษัท บีกริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ลงทุนโรงไฟฟ้าไฮบริด สำหรับงานระบบไฟฟ้าและระบบน้ำเย็น ในสนามบินอู่ตะเภา เฟส 1 มูลค่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทบีกริมฯได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ลงทุนในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเช่าที่ดินจากกองทัพเรือ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้

สำหรับ Energy China ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการผลิตไฟฟ้า ในประเทศจีน เป็นรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ที่มีการผลิตไฟฟ้าถึง 70% ของประเทศจีน มีรายได้รวมกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 105,400 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ)

นอกจากนั้น รัฐบาลจีนได้มอบหมายให้เป็นหน่วยงานที่ออกไปลงทุนด้านพลังงานในเส้นทางสายไหมเส้นใหม่ของจีน (one belt one road) โดยใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 44,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.36 ล้านล้านบาท ส่วนในไทยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ หรือ 9,300 ล้านบาท เพื่อเข้าไปลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในวงเงิน 100 ล้านดอลลาร์ หรือ 3,100 ล้านบาท

“ผม ได้เชิญชวนให้ Energy China เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพ ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็นหนึ่งใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งบริษัทที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เช่น การอำนวยความสะดวกตรวจคนเข้าเมือง การถือครองที่ดิน และสิทธิประโยชน์เรื่องภาษี เป็นต้น”

นายสมคิด กล่าวถึงการเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง ประจำประเทศไทย (HKETO) ว่า นางแครี แลม (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกง จะเดินทางมาประเทศไทยในวันที่ 27-28 ก.พ.นี้ โดยในวันที่ 28 ก.พ.นี้ จะเข้าร่วมกิจกรรมเวทีสัมมนาของกระทรวงพาณิชย์ และเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะเดินทางไปเปิดสำนักงาน HKETO ซึ่งฮ่องกงถือว่ามีความสำคัญ และมีบทบาททางเศรษฐกิจสูงมาก ในปัจจุบันเนื่องจากจีนให้เกรตเตอร์เบย์ (Greater Bay Area) เป็นหัวหอกที่สำคัญ ของเส้นทางสายไหม (one belt one road) โดยการเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงในไทย จะช่วยเชื่อมโยงความร่วมมือเศรษฐกิจของทั้งไทย ฮ่องกง และจีน ได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

“การที่ Energy China เข้ามาลงทุนในอีอีซี ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะถือเป็นหน่วยงานใหญ่ของจีนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน ให้รับผิดชอบการลงทุนพลังงานครั้งใหญ่ที่พื้นที่เกรตเตอร์เบย์ ที่ประกอบไปด้วย ฮ่องกง กวางตุ้ง และมาเก๊า เพราะเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของจีน การลงทุนครั้งนี้ จึงเป็นการเชื่อมโยงการลงทุนทั้งในพื้นที่อีอีซีและพื้นที่เกรตเตอร์เบย์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงพื้นที่อีอีซีที่เป็นศูนย์กลางของซีแอลเอ็มวีกับ one belt one road ได้เป็นอย่างดี”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการโรงไฟฟ้าไฮบริดสำหรับงานระบบไฟฟ้าและระบบน้ำเย็น ในสนามบินอู่ตะเภา เฟส 1 ที่ บริษัทบีกริมฯได้รับการคัดเลือกจากกองทัพเรือ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ให้ดำเนินโครงการต่างๆ บริษัทมีแผนจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 80 เมกะวัตต์ พร้อมกับการพิจารณาจัดหาพื้นที่ที่มีความเหมาะสม เพื่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 15 เมกะวัตต์ และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง โดยจะก่อสร้างและเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับพื้นที่รับผิดชอบหลักบริเวณสนามบินอู่ตะเภา และพื้นที่รับผิดชอบรอง ในส่วนของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ พร้อมทั้งจำหน่ายน้ำเย็นให้ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาได้ในเดือน ม.ค.2564

นอกจากนี้ บริษัทบีกริมฯยังได้เสนอแผนการดำเนินงานโรงไฟฟ้าในสนามบินอู่ตะเภา ระยะที่ 2 ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 80 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และ/หรือติดตั้งบนหลังคา และ/หรือแบบลอยน้ำ 55 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยแผนการพัฒนาโรงไฟฟ้าระยะที่ 2 ตามข้อเสนอของบริษัทนั้น ได้รับการกำหนดไว้ระหว่างปี 2564-2566.

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0