ระทึกกลางดึก! ไฟไหม้วอดทั้งหลัง บ้านทรงไทยไม้สัก สมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าหน้าที่เร่งช่วยดับวุ่น เจ้าของบ้านสุดเสียดาย เผยประเมินมูลค่าไม่ได้ เพราะเป็นมรดกตกทอดมายาวนาน
เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 20 ต.ค. ร.ต.อ.โอภาส คณะแพง รองสารวัตร(สอบสวน) สน.บึงกุ่ม รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ใกล้เคียงซอยนวมินทร์ 60 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมรถดับเพลิงจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร อาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และมูลนิธิสยามร่วมใจ
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
ที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างซอยนวมินทร์ 58 และ 60 บ้านเลขที่ 8/1 เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ มีบ้านปลูกสร้างอยู่ในเนื้อที่เดียวกัน 3 หลัง โดย 2 หลังเป็นบ้านปูนชั้นเดียวปลูกติดกัน และอีก 1 หลังเป็นบ้านทรงไทย 2 ชั้น พบแสงเพลิงกำลังลุกไหม้บ้านทรงไทย เจ้าหน้าที่จึงเร่งใช้น้ำฉีดสกัดเพลิง
แต่เนื่องจากทางเข้าจุดเกิดเหตุรถเข้าได้ทางเดียว จึงทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะบ้านเรือนไทยปลูกอยู่ตรงกลางที่ดิน อีกทั้งมีกำแพงล้อมรอบ เจ้าหน้าต้องใช้เครื่องสูบน้ำขนาดเล็กแบกเข้าไปให้ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเพลิงสงบ บ้านเรือนไทยถูกเพลิงไหม้หมดทั้งหลัง ขณะเกิดเหตุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
จากการสอบถาม นายน้อย (ขอสงวนชื่อนามสกุล) อายุ 70 ปี พี่ชายเจ้าของบ้าน กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนนอนพักอยู่ในบ้านซึ่งปลูกอยู่ใกล้ ๆ จุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงหลานสาวตะโกนบอกว่าไฟไหม้ จึงรีบนำถังดับเพลิงไปฉีดแต่ไม่เป็นผล แสงเพลิงลุกลามอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ บ้านหลังเกิดเหตุมีน้องสาว แม่บ้านและหลานสาวพักอยู่ ส่วนตนและน้องอีกคนอยู่บ้านคนละหลัง ที่สร้างในพื้นที่เดียวกันบนเนื่อที่ 2 ไร่ ส่วนบริเวณหน้าบ้านเนื้อที่อีกประมาณ 200 ตารางวา ปล่อยให้เช่าทำเต็นท์รถมือสอง
“ผมรู้สึกเสียดายที่บ้านหลังนี้เกิดเพลิงไหม้ เนื่องจากปลูกสร้างด้วยไม้สักเกือบทั้งหลัง อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ส่วนมูลค่าความเสียหายไม่ต้องพูดถึง มันประเมินเป็นเงินไม่ได้ แต่มันมีมูลค่าทางจิตใจมากกว่า เพราะบ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากปู่ ย่า ตายาย ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5” นายน้อย กล่าว
ด้าน ร.ต.อ.โอภาส กล่าวว่า เบื้องต้นจากการสอบสวนเจ้าของบ้านทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงคล้ายไฟฟ้าลัดวงจรในบ้าน ซึ่งในส่วนนี้ก็จะต้องประสานกองพิสูจน์หลักฐาน มาตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้อย่างละเอียดอีกครั้ง
