แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการลุ้นคว้าแชมป์ทั้งหมด 4 ถ้วยในฤดูกาลนี้ หลังจากที่ได้ คาราบาว คัพ มานอนกอดไปแล้ว 1 รายการ
เรียกได้ว่าเป็นฤดูกาลที่ทีมเรือใบสีฟ้ามีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการกวาดครบทุกแชมป์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ใกล้เคียงที่สุดก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำทริปเปิลแชมป์อันลือลั่นเมื่อฤดูกาล 1998/99 ขาดไปเพียงแค่ ลีก คัพ ถ้วยเดียวเท่านั้น
อันที่จริงทีมปีศาจแดงก็เคยสอย 4 แชมป์มาแล้วเมื่อฤดูกาล 2008/09 เพียงแต่ว่านอกเหนือจาก พรีเมียร์ ลีก กับ ลีก คัพ มันก็เป็นโทรฟี่ที่หลายคนไม่ค่อยให้ราคากับมันสักเท่าไหร่นักอย่าง คอมมิวนิตี้ ชีลด์ และ คลับ เวิลด์ คัพ จึงทำให้ความสำเร็จของพวกเขาที่ถูกพูดถึง สุดท้ายก็เป็นเรื่องราวจากเมื่อปี 1999 อยู่ดี
แต่มาในปีนี้คู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสที่จะจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่แสนเกรียงไกรขึ้นมา นั่นก็คือการคว้าแชมป์ 4 รายการหลักมาครอบครอง แบบที่ไม่แบ่งให้ใครได้ไปเชยชม และหากว่าจะกล้าๆ นับรวมเอาแมตช์ไม้ประดับก่อนเปิดฤดูกาลอย่าง คอมมิวนิตี้ ชีลด์ ด้วยเหมือนที่บางทีมเคยทำ ก็จะพูดว่า 5 แชมป์ก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าแฟนๆ เรือใบสีฟ้าคงไม่ค่อยภูมิใจกับโทรฟี่ที่แถมมาอีกรายการนั้นหรอก
หลังจากที่ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดวลจุดโทษเอาชนะ เชลซี คว้าแชมป์ คาราบาว คัพ (ลีก คัพ ภายใต้ชื่อสปอนเซอร์หลัก) ไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ก็เริ่มมีการพูดถึงกันอย่างจริงจังมากขึ้นถึงความเป็นไปได้ที่ทีมฝั่งสีฟ้าจากเมืองแมนเชสเตอร์จะกวาดเรียบ 4 ถ้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กุนซือชาวสเปนรู้สึกพอใจนัก เนื่องจากมองว่ามันเป็นการสร้างความกดดันให้กับพวกเขาเสียเปล่าๆ
“เอาไว้เดี๋ยวพวกคุณค่อยมาถามผมตอนสิ้นเดือนเมษายนก็แล้วกัน ตอนนั้นผมคงจะให้คำตอบกับพวกคุณได้ ผมรู้ว่าผู้คนคงจะมองว่ามันเป็นความล้มเหลวเลยใช่ไหมล่ะหากว่าเราคว้าแชมป์ไม่ได้ 3 หรือ 4 รายการ ดังนั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน” กวาร์ดิโอล่า กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากจะมองตามความเป็นจริงแล้ว แมนฯ ซิตี้ ก็ถือว่ามีโอกาสสูงอยู่ที่จะทำได้ตามนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในถ้วย เอฟเอ คัพ ที่คู่แข่งสมน้ำสมเนื้ออย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กระเด็นตกรอบไปแล้ว ตอนนี้ในรอบรองชนะเลิศจึงเหลือแต่ ไบรท์ตัน ซึ่งเป็นคู่แข่งของพวกเขาในรอบนี้, วัตฟอร์ด และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ถ้าทีมเรือใบสีฟ้าเอาจริง ทีมพวกนี้จะไปรอดได้อย่างไรกันล่ะ
ขณะที่ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาถูกจับสลากให้เจอกับทีมที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และเมื่อลองไปดูฟอร์มในระยะหลังของทีมไก่เดือยทอง บวกกับสถิติการพบกันระยะหลัง ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่าเด็กๆ ของ เป๊ป เหนือกว่าเห็นๆ ถ้าไม่ผิดพลาดกันไปเองก็น่าจะมีชื่อ แมนฯ ซิตี้ ปรากฏในรอบตัดเชือก
ถึงตรงนั้นอะไรมันก็เป็นไปได้หมด พวกเขาอาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกก็ได้ หรืออาจจะทะลุเข้าชิงลุ้นสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสโมสรก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร
ส่วนรายการสำคัญที่พวกเขามีศักดิ์เป็นแชมป์เก่าอย่าง พรีเมียร์ ลีก สถานการณ์ก็ยังถือว่าได้เปรียบ ลิเวอร์พูล โดยแม้ว่าจะตามหลังทีมหงส์แดงอยู่ 2 แต้ม แต่อย่าลืมว่า แมนฯ ซิตี้ ยังเหลือโปรแกรมในมืออีก 1 เกม ถ้าชนะก็กลับไปนำเป็นจ่าฝูงเหมือนเดิมนั่นแหละ
มองมาที่ตัวกุนซืออย่าง กวาร์ดิโอล่า ใช่ว่าเขาไม่เคยผ่านประสบการณ์พาทีมลุ้นถ้วยแชมป์หลายรายการภายในปีเดียวแบบนี้มาก่อน ย้อนไปเมื่อฤดูกาล 2008/09 เขาเคยพา บาร์เซโลน่า กวาดแชมป์ 3 รายการมาแล้ว นั่นก็คือ ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก
มาคราวนี้มันอาจจะเป็นงานที่ยากขึ้นพอสมควร เนื่องจากมีถ้วย คาราบาว คัพ เพิ่มเข้ามา ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องลงสนามถึง 63 เกม หากต้องการคว้า 4 แชมป์ แต่งานมันก็จบไปเรียบร้อยแล้ว 1 ถ้วย ถึงตรงนี้ในช่วงพักเบรคสัปดาห์ทีมชาติก็เป็นโอกาสดีที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะได้ชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ
อย่างที่กุนซือคนเก่งของพวกเขาได้พูดเอาไว้ว่า “ตอนนี้เราจะสู้กันอย่างเต็มที่ทุกๆ เกม หลังผ่านช่วงเบรคสัปดาห์ทีมชาติ”