โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เหงาอย่างไรให้จิตใจและเงินในกระเป๋างอกงาม - หมอเอิ้น พิยะดา

THINK TODAY

เผยแพร่ 15 พ.ค. 2562 เวลา 10.37 น.

ในขณะที่โลกหมุนเร็วขึ้นจากการสื่อสารที่รวดเร็วและเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด

เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้คน ทำให้เราคุยกับทุกคนบนโลกได้ รับรู้ข่าวสารได้รวดเร็วทันท่วงที

แต่เรากลับสื่อสารกับตัวเองได้น้อยและคุยกับคนข้างๆเราน้อยลง

แล้วความว่างเปล่าก็มาเยือนหัวใจผู้คนมากขึ้น จนหลายคนนิยามตัวเองว่า “คนเหงา”

จำนวนคนเหงาเริ่มเพิ่มมากขึ้นบนโลก จนเป็นวาระสำคัญของหลายประเทศในการเริ่มสำรวจจำนวนคนเหงา

เช่นในประเทศอังกฤษมีจำนวนคนเหงาประมาณ 9 ล้านคน

ประเทศอเมริกามีจำนวนคนเหงาคิดเป็นร้อยละ 75 ของประชากรในประเทศ

ล่าสุดคือประเทศไทยจากการสำรวจโดยวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยตลาดคนเหงาพบว่า

ประชากรในประเทศไทย 66.41 ล้านคน มีคนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหากับความเหงาถึง 26.75 ล้านคน

โดยส่วนมากเป็นกลุ่มวัยเรียน วันทำงาน ( แสดงว่าจำนวนและพฤติกรรมการบริโภคของคนกลุ่มนี้มีมากพอที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ)

สิ่งที่ทำให้รู้สึกสนใจอยากเขียนเรื่องนี้มากขึ้น เพราะมีข้อมูลจากการวิจัยการตลาดของคนเหงาเปิดเผยว่า

ความเหงามีความสัมพันธ์แปรผกผันกับรายได้ *รายได้มากเหงาน้อย รายได้น้อยเหงามาก *

โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท

ด้วยเหตุผลว่า เป็นเพราะคนมีรายได้น้อยไม่มีเงินพอที่จะทำกิจกรรมคลายเหงา เช่น ไปเที่ยว ชอปปิง

จากข้อมูลข้างต้นจึงอดที่จะนั่งย้อนไปมองในวัยเยาว์ที่ยังไม่มีเงินเดือน

และเหลียวมองผู้คนรอบข้างที่เค้ามีรายได้ไม่ถึงหมื่นห้าแต่ไม่ได้รู้สึกว่าความเหงาคือปัญหาไม่ได้                             

แสดงว่าเรายังมีวิธีอยู่กับความเหงาโดยที่เราไม่ต้องเสียเงินในกระเป๋าอยู่  

แต่เราอาจจะต้องต้องทำความเข้าใจความรู้สึกเหงา

เพื่อให้เราสามารถดูแลและใช้ประโยชน์จากความรู้สึกนี้ได้ดีขึ้น

เรามาค่อยๆทำความรู้จักความเหงาไปพร้อมกันนะคะ

ความเหงาคืออะไร? ความเหงาเป็นความรู้สึกที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่มีอิทธิพลต่อชีวิตเราแตกต่างกัน

บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ บางคนมองว่าความเหงาคืออุปสรรค

บางคนมองว่าเป็นช่วงเวลาของการสะสมพลังงาน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน

แต่ลึกๆแล้วภายใต้ความเหงามักมีความรู้สึกอ้างว้าง และโดดเดี่ยวซ่อนอยู่

ความเหงาจึงเป็นเหมือนรสนิยมเฉพาะบุคคล

*ดังนั้นการที่เราเหงาไม่สำคัญเท่าเรามีทัศนคติอย่างไรต่อความเหงา *

ความเหงาไม่ได้ขึ้นกับเรื่องราว แต่ขึ้นกับการให้ความหมาย :

เช่น การที่เราต้องอยู่คนเดียวในบ้าน เราอาจจะรู้สึกว่าให้คะแนนความเหงาระดับ 10 เต็ม 10

เพราะเราให้ความหมายว่าคนในบ้านไม่ใส่ใจ ทอดทิ้ง ไม่เห็นความสำคัญ

เราอาจเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในวัยเด็กตอนที่ถูกปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว

แต่ความรู้สึกนี้กลับติดตามมาในปัจจุบันทั้งที่เราไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมแล้ว

ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเหงา 5 เต็ม 10 เพราะให้ความหมายว่าเป็นช่วงเวลาที่ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่

*ความเหงานั้นมีระดับและวิธีการดูแล : *

เหงาเล็กน้อย: ความเหงาระดับนี้มักมาในรูปแบบของความคิดถึง ความเบื่อ สภาวะขณะนั้น

เราสามารถดูแลและใช้ประโยชน์จากความเหงาได้ด้วยการระลึกถึงคนที่คิดถึงแล้วสื่อสาร

เช่น โทรหาพ่อแม่ที่อาจจะกำลังนั่งเหงาและคิดถึงเราเช่นกัน

การกลับไปทำงานอดิเรกในวัยเด็ก ออกกำลังกาย

หรือการหยิบงานที่คั่งค้างมาสะสางด้วยความตั้งใจ

*เหงาระดับกลาง : * ความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยวเริ่มผุดขึ้นมาแบบอัตโนมัติทุกวัน วันละหลายรอบ

เราดูแลความเหงาระดับนี้การเรียนรู้ตัวเองผ่านความเหงา

โดยใช้เวลาทองในการกลับมาอยู่กับตัวเองแล้วตอบคำถามของความเหงา

เช่น อะไรบ้างที่ทำให้เรารู้สึกเหงา ?

 อะไรบ้างที่จะทำให้ความเหงาหายไป ?

ใครบ้างที่เราอยากให้เค้ารับรู้ว่าเราเหงา?

มีอะไรบ้างที่เราอยากจะเล่าหากมีใครสักคนรับฟัง?

เราอยากให้คนที่เรารักและให้ความสำคัญ เข้าใจเราว่าอย่างไร?

เรายังมีความปรารถนาอะไรบ้างในชีวิต?

หากเราค่อยๆทบทวนแล้วเขียนมันออกมาด้วยความอิสระ โดยไม่ได้แชร์ความเป็นตัวเองกับชีวิตของใคร

เราจะเห็นความคิด อารมณ์ และความปรารถนาของตัวเองชัดขึ้น สุดท้ายเราจะรู้จักตัวเองมากขึ้น

รวมถึงการเริ่มมีเป้าหมายในชีวิตที่มาจากตัวเราเอง ไม่ใช่ความคาดหวังจากคนอื่นหรือการเปรียบเทียบ

เราจะพบว่าศิลปินที่มีชื่อเสียง หรือคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนต่างใช้ช่วงเวลานี้ในการสร้างผลงานและรายได้

เช่น เจ.เค. โรว์ลิง ก็ใช้ช่วงเวลาที่ตกงาน ได้รับเพียงเงินสงเคราะห์จากรัฐบาลเพื่อความอยู่รอด

ถูกปฏิเสธในการให้ความช่วยเหลือจากคนรอบข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอใช้ช่วงเวลาของความโดดเดี่ยวมานั่งเขียนนวนิยายก้องโลกอย่างแฮรี่พอตเตอร์ด้วยความมุ่งมั่น พลิกชีวิตให้สร้างชื่อเสียงและรายได้อันมหาศาลจนถึงปัจจุบัน

*เหงาขั้นสุด : * เหงาระดับนี้ อารมณ์ความเศร้า เบื่อหน่าย ท้อแท้มักท่วมท้น

ยากในการถอยหลักกลับมาสังเกตและทบทวน การดูแลคือเหงาให้สุดแล้วหาตัวช่วย เช่น ใครสักคนที่รับฟัง นักให้คำปรึกษา หรือจิตแพทย์ (การไปพบจิตแพทย์ปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องของคนป่วยแต่เป็นเรื่องของคนที่รู้จักดูแลตัวเอง) เพราะการจมดิ่งอยู่กับความเหงายาวนานจนเกินไปก็อาจนำพาเราไปสู้ภาวะซึมเศร้าได้

จากการเรียนรู้ระดับความเหงาและการอยู่กับความเหงาอย่างเป็นสุข เราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสักบาท 

ในทางกลับกัน หากเราใช้เวลาแห่งความอิสระที่ความเหงาได้มอบให้ เราอาจได้ผลงานมากขึ้น ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ที่สำคัญคือได้เห็นเป้าหมายในชีวิตชัดขึ้น นอกเหนือจากความสุขแล้ว ความเหงาอาจนำพาซึ่งรายได้ที่มากขึ้น แทนการวิ่งหนีความเหงาด้วยการไปใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขเพียงชั่วคราว 

https://youtu.be/8RR7E7wTXpo    

สำรวจใจว่าเราซึมเศร้าหรือเศร้าซึม

https://youtu.be/LV_J_AZkT0w

ไปพบจิตแพทย์ต้องทำอย่างไร และต้องเจออะไรบ้าง

https://youtu.be/3vFQSvYE1Z4

การระงับความโกรธ

---------------------------------------------------------------------------- 

Page FB ดีต่อใจ โดย หมอเอิ้น พิยะดา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156783544953550&id=306538978549

----------------------------------------------------------------------------

IG : https://www.instagram.com/earnpiyada/

----------------------------------------------------------------------------

Website : http://www.earnpiyada.com/

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0