ยังไม่สิ้นสุดทางเลื่อน…
เห็นทีจะต้องว่ากันอย่างนั้น เพราะเมื่อยังไม่ถึงวันสุดท้ายที่จะประกาศรับรองรายชื่อ ส.ส.อย่างเป็นทางการ
ดูท่าแล้วน่าจะต้องรอถึงวันที่ 9 พ.ค.62 โน่นแหละ…
แวดวงการเมืองจึงสงบลงบ้าง เพราะจะเคลื่อนไหวอะไรตอนนี้ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด เนื่องจากต้องรอดูกระบวนการทำงานของ กกต.ว่าเป็นไปอย่างไรมากกว่า
ล่าสุดดูเหมือนจะจับจ้องไปที่ประเด็นสำคัญคือ การตรวจสอบคุณสมบัติของนักการเมืองว่าถูกต้องหรือไม่
อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และแคนดิเดตเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยเรื่องการถือครองหุ้น “สื่อ” ขณะที่เป็นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งขัดคุณสมบัติตาม ม.98 (3) ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้
พูดง่ายๆว่า เป็นข้อห้ามเพื่อป้องกันการใช้อิทธิพลผ่านสื่อ
แต่มิใช่นายธนาธรเพียงคนเดียว ยังมีรายชื่อนักการเมืองอีกส่วนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติด้วย
ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล ได้ยื่นเรื่องนี้ให้ กกต.พิจารณาตรวจสอบ 32 รายชื่อ มีนักการเมืองจากเพื่อไทย 10 คน อนาคตใหม่ 7 คน เสรีรวมไทย 6 คน เพื่อชาติ 5 คน ปวงชนชาวไทย 2 คน และประชาชาติ 2 คน
จำนวนนักการเมืองเหล่านี้ล้วนเป็นพันธมิตร 6 พรรค ที่จับมือกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลมีการลงนามเอ็มโอยูและประกาศต่อสาธารณะไปแล้ว
แต่ระยะหลังๆดูจะเงียบไป ไม่รู้ว่ายังรอตัวเลขให้นิ่งก่อนหรือไม่แน่ใจว่าจะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้จริง
หาก กกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูลก็จะส่งให้ศาลชี้ขาดว่ามีความผิดจริงหรือไม่ จากจำนวนนักการเมืองที่ถูกข้อกล่าวหาทั้งหมด
ไม่ว่าจะกี่คนหากมีความผิดก็จะเกิดผลต่อเสียงสนับสนุนของขั้วการเมืองนี้ทันที เพราะตัวเลข ส.ส.จะลดลงไปโดยปริยาย
แค่นับจำนวนคร่าวๆ ตอนนี้ก็ทำท่าว่าจะไม่ได้เสียงข้างมากอยู่แล้ว
อีกประเด็นก็คือ ม.151 ของกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ได้ระบุด้วยว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส. เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัคร ส.ส. แต่มาสมัคร
โทษที่จะได้รับต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โทษหนักไม่ใช่เล่น ไม่ใช่แค่สอบตกเท่านั้น
ว่าไปแล้วเรื่องนี้ในฐานะนักการเมืองหากไม่รอบคอบหรือมีเจตนารมณ์ทำผิดเองเป็นเรื่องที่มิอาจปฏิเสธได้หากพบว่ากระทำความผิดจริง เพราะจะอ้างว่าไม่รู้กฎกติกาไม่ได้
หากพิจารณาประกอบสถานการณ์ทางการเมืองจะเห็นได้ว่าพรรคพลังประชารัฐที่ออกตัวแรงว่าสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ไม่ได้ยืนยันว่าจะออกมาในรูปแบบไหน?
ประเด็นนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามเจอเรื่อง “คุณสมบัติ” น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะเกิดผลโดยตรงต่อการตั้งรัฐบาลที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ
เช่นกันหากชี้ขาดด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพบว่ากระทำความผิดจริงก็ต้องยอมรับ เพราะเกิดจากความผิดพลาดบกพร่องของตัวเองถือว่า “เสียค่าโง่” เอง
ที่ตกหนักก็คือ กกต. จะต้องเจอแรงเสียดทานหนักเข้าไปอีก.
“สายล่อฟ้า”