เลือกหุ้นยามวิกฤต ต้องตามติดพื้นฐาน

ต้นปี 2563 เราอยู่ในช่วงของวิกฤต โควิต-19 ราคาหุ้นตกต่ำดำดิ่ง จาก SET เปิดปีที่ประมาณ 1580 จุด ลงไปมากมายถึง 600 จุด ไปทดสอบจุดต่ำสุดที่ 969 จุด วันที่ 23 มีนาคม 2563 หลังจากนั้น ตลาดหุ้นไทยเริ่มยืนได้ และทยอยฟื้นตัว เผลอแว้บเดียวดัชนีตลาดหุ้นไทยก็มายืนที่ 1287 จุด ในวันที่ 11 พ.ค. 2563 ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30% 

นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากประหลาดใจยิ่ง เพราะตลาดหุ้นดีดกลับได้แรงเกินความคาดหมายไปมาก จนอาจจะเรียกได้ว่า ตลาดหุ้นพลิกกลับจากวิกฤตที่ “พื้นฐานนำราคา” (พื้นฐานดี ราคาถูก) กลับกลายมาเป็นช่วงเวลาที่ “ราคานำพื้นฐาน” (ราคาสูงกว่าพื้นฐานปีนี้)  

มีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่รอซื้อหุ้นอยู่โดยหวังว่า SET จะลงลึกไปถึง 900 หรือ 800 จุด โดยคาดว่า จะลง 50% ของดัชนี เหมือนกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 2008 ที่ดัชนีลงไปมากกว่า 50% ซึ่งในความเป็นจริงของรอบวิกฤตโควิดนี้ ลงไปไม่ถึงจุดนั้น 

ในขณะที่หลายๆคนรอให้ตลาดหุ้นลงบ้างย่อบ้าง แต่ไม่ลง โดยฟื้นรวดเดียวจาก 1000 ไป 1100 จุด ไป 1200 จุด และกำลังทดสอบ 1300 จุดในต้นเดือนพฤษภาคม แต่นับจากจุดนี้ไป การลงทุนในหุ้นจะยากขึ้น 

ยกตัวอย่างเช่น หุ้น A ราคา 20 บาท เจอวิกฤตต้นปี ราคาลงไปเหลือ 12 บาท นี่คือ Panic Sell แล้ว (-40% ในเวลาเพียง 3 เดือน)…. ซึ่งตอนที่หุ้นมีราคา 12 บาท แล้วเด้งมาเป็น 16 บาทอย่างรวดเร็ว (+30% ใน 1 เดือน) เรียกว่าเป็น Technical Rebound ซึ่งเทียบได้กับช่วงที่ SET ปรับตัวขึ้นจาก 1000 จุด มาเป็น 1300 จุด แต่หุ้น A จะสามารถฟื้นตัว จากราคา 16 บาท กลับไปยืนที่ราคาเดิมตอนต้นปี ก่อนวิกฤตโควิดที่ 20 บาทต่อหุ้น ได้อย่างไรนั้น จุดนี้คือจุดที่ตัดสินใจยาก ซึ่งนักลงทุนจะต้องกลับไปมองที่พื้นฐานของตัวหุ้น เป็นจุดตัดสินใจ 

การเลือกซื้อหุ้นในยามวิกฤตจากนี้ ควรต้องเป็นการเลือกลงทุนแบบ Selective Buy เป็นการซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาวให้พ้นรอบเศรษฐกิจจากตกต่ำชั่วคราว เพื่อคาดหวังการกลับมาเป็นปกติ สำหรับพอร์ตลงทุนระยะยาว ที่ลงทุนหวังผลนานข้ามปี จะลงทุนง่ายกว่า เพราะแม้ว่าโควิด19 จะเป็นโรคระบาดที่น่ากลัว แต่วิกฤตนี้ก็ต้องมีวันจบ ในวันนึงของปีหน้า โลกนี้ก็จะไม่กลัวโควิดอีก อาจจะเกิดจากการค้นพบวัคซีน หรือยาต้านไวรัสที่รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวันนั้น หุ้นหลายตัวที่ถูกผลกระทบอย่างรุนแรงในวันนี้ ควรจะกลับไปเทรดที่ระดับราคาใกล้เคียงเดิม หรือเติบโตกว่าเดิมได้ 

ในขณะที่การลงทุนในพอร์ตระยะสั้น ที่หวังผลตอบแทนไม่เกิน 1 ปี อันนี้จะยากกว่า เพราะเรายังต้องเผชิญความไม่แน่นอนอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการไตรมาส 2 ที่โดนผลกระทบจากโควิดเต็มๆ และโอกาสในการเกิดการระบาดรอบใหม่ (2nd wave) 

ผมเองมีความเห็นว่า การแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้น แต่จะไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรกในรอบเดือนมีนาคมอีกแล้ว เพราะตอนนี้กระทรวงสาธารณสุข และประชาชนรู้หมดแล้ว ทุกคนเตรียมตัว ทุกคนใส่หน้ากากป้องกัน ทุกคนพยายามเว้นระยะห่าง โอกาสจะเกิดโรคระบาดรอบใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมจึงน่าจะยาก 

ในแง่ตลาดหุ้น นักลงทุนทุกคนก็รับรู้โอกาสที่จะเกิดการระบาด 2nd Wave เช่นเดียวกัน สิ่งนี้อยู่ในการคาดหมายของตลาดเช่นเดียวกัน ในขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจด้วยปริมาณมหึมา พร้อมกับการกดอัตราดอกเบี้ยให้ใกล้ 0% นี่อาจจะเป็นที่มาของ New Normal Investment Strategy หรือกลยุทธ์การลงทุนยุคใหม่ ในโลกหลังโควิด กล่าวคือ ห้างยังไม่เปิด…นักลงทุนจะกล้าซื้อหุ้นห้างไว้ก่อน เมืองยังล็อคดาวน์อยู่…นักลงทุนจะกล้าซื้อหุ้นรถไฟฟ้าและหุ้นน้ำมันไว้ก่อน หรือ การท่องเที่ยวยังไม่เปิด … แต่นักลงทุนก็พร้อมจะเก็บหุ้นสนามบินและโรงแรมล่วงหน้าไว้ก่อน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ SET เด้งขึ้นแรง +30% ในรอบเดือนที่ผ่านมา

  
แต่จากจุดนี้ไป ผมมีความเชื่อมั่นอย่างมาก ว่า หุ้นพื้นฐานดี จะทยอยกลับมาได้และมีโอกาสไปต่อ แต่หุ้นพื้นฐานแย่ ที่ขึ้นมาด้วยภาวะตลาดโดยรวม จะต้องปรับตัวลง เพราะสุดท้ายการลงทุนจะต้องกลับมาสู่พื้นฐานของกิจการแน่นอน  

อธิป กีรติพิชญ์

เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

คอร์สสัมมนา :  ติวหุ้น รวยด้วย VI