คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่สยามสแควร์ บริเวณลานเซ็นเตอร์พอยท์ พร้อมกับครอบครัว นายสมยศ ลีลาปัญญาเลิศ สามีคุณหญิงสุดารัตน์ และมี น.ส.ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ หรือ จินนี่ บุตรสาว และ นายพีรภัทร ลีลาปัญญาเลิศ หรือ เบสท์ และนายภูมิภัทร ลีลาปัญญาเลิศ หรือ บอส บุตรชาย โดยครอบครัวคุณหญิงสุดารัตน์ เดินพบปะประชาชนตั้งศูนย์การค้าดิจิตอลเกตเวย์ และเดินขึ้นไปพบปะประชาชนที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยาม โดยประชาชนและวัยรุ่นมาร่วมถ่ายภาพกับคุณหญิงสุดารัตน์ พร้อมทั้งสอบถามหมายเลขผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย โดยคุณหญิงสุดารัตน์ บอกกับประชาชนว่าให้จำชื่อพรรคเพื่อไทยเท่านั้นในการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. เพราะหลายเขตมีหมายเลขผู้สมัครไม่เหมือนกัน
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า ที่พาครอบครัวมาลงพื้นที่ในวันนี้เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. ตนต้องลงพื้นที่หาเสียงที่ต่างจังหวัดหลายวัน จึงไม่มีเวลาให้กับครอบครัวและวันนี้ น้องจินนี่และน้องเบสท์มาเรียนพิเศษที่สยามสแควร์ทำให้เลือกลงพื้นที่ที่สยามสแควร์ รวมทั้งต้องการมาพบปะกับคนรุ่นใหม่
จากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ให้สัมภาษณ์ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ลงพื้นที่หาเสียงสวนจตุจักร ว่า พล.อ.ประยุทธ์กับพรรคพลังประชารัฐ มีความแนบแน่นเนื้อเดียวกันอย่างหลายคนบอกการทำโรดแมป ที่เคยบอก4ปีจะเข้าสู่การเลือกตั้งได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นการคืนอำนาจของผู้ยึดอำนาจ ในกติกาเอารัดเอาเปรียบหาเสียงลงพื้นที่ ด้านอำนาจรัฐเอื้ออำนวยสอดคล้องกัน เป็นเรื่องที่สื่อควรถามพล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องนี้มากกว่า
เมื่อถามว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐไปร่วมเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องวางตัวเป็นกลางการที่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐ และงบประมาณรัฐ เราเป็นผู้แข่งขันเราถูกเอาเปรียบแม้จะถูกเอาเปรียบไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายด้วยต้องถามนายกฯ ที่ทำหน้าที่นายกฯ และหัวหน้า คสช. เป็นแคนดิเดตนายกฯให้พรรคพปชร. ส่อเอื้อประโยชน์หรือให้เกิดผลดีต่อบางพรรคการเมืองสมควรถูกต้องกฎหมายหรือไม่ อีกทั้ง กกต. จะปล่อยให้ถึงวันเลือกตั้งหรือไม่เป็นเรื่อง 27 ปีไม่เคยเจอแบบนี้ ครั้งนี้เขาจะให้เกิดเป็นธรรมเลือกตั้งรัฐบาลเลือกตั้งต้องรักษาการไม่มีอำนาจใดๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นายกฯมีอำนาจเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ มีมาตรา 44 ด้วย ภาคปฏิบัติก็ได้รับการสะท้อนจากผู้สมัคร ส.ส.พื้นที่ตลอดทั้งการข่มขู่ใช้อำนาจรัฐ เก็บบัตรประชาชน แม้แต่เพิ่งลงบางเพจและเว็บไซต์มีการเก็บบัตรประชาชนของทหารเกณฑ์ด้วย
ส่วนนโยบายของพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับการทำมาหากินของคนรุ่นใหม่ และคนที่ได้รับผลกระทบเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โดยเทคโนโลยีที่เข้ามาธุรกิจหลายอย่างกำลังลดอัตราตำแหน่งงาน อย่างธนาคารต้องลดคนงานลงทำให้มีคนว่างงาน เด็กรุ่นใหม่จะหางานทำยากขึ้น เรามองเห็นปัญหาที่รัฐต้องแก้ไขล่วงหน้า อีกทั้งเห็นศักยภาพของคนรุ่นใหม่มีความรู้ มี 3 มาตรการตั้งกองทุนสร้างเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ หรือสร้างเถ้าแก่ใหม่ กองทุนนี้เรามองว่านโยบายไม่เกณฑ์ทหารจะให้สมัครใจเข้ารับราชการ คนรุ่นใหม่มีศักยภาพโดยทำแคมป์คนรุ่นใหม่เป็นเถ้าแก่เจ้าของกิจการ แทนที่เข้าแคมป์ฝึกทหารก็เข้าแคมป์สร้างกิจการเอง โดนแบ่งงบฯกลาโหม 10% หรืองบประมาณ 20,000 ล้านบาท ศูนย์นี้จะช่วยองค์ความรู้ทั้งหมด โดยประสานกับมหาวิทยาลัย ใช้กองทุนนี้ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนั้นยังทำแบรนด์ไทยแลนด์ โดยใช้ชื่อไทยเวิร์ค เป็นแบรนด์ไทยแลนด์พาคนตัวเล็กไปขายของ โดยรัฐเป็นเจ้าภาพทำให้
2.รองรับคนตกงานในสายต่างๆที่จะตกงานมากขึ้นด้วยกองทุนคนเปลี่ยนงาน ไม่ปล่อยให้คนเตะฝุ่น2แสนคน ให้เงินทุนให้มีงาน ถ้าถูกเลิกจ้างจะมีกองทุนให้คนเหล่านี้
3.บัตรทองสตาร์ทอัพ เพื่อเด็กรุ่นใหม่ นักธุรกิจรุ่นใหม่คนเหล่านี้จะให้กำลังให้สู้กับรุ่นใหญ่ได้ ดังนั้นบัตรทองสตาร์ทอัพให้คนตัวเล็กสิทธิพิเศษนอกอีอีซี เป็นการแก้ปัญหารวยกระจุก จนกระจาย ดังนั้นเมื่อมีนโยบายไม่เกณฑ์ทหาร จะสร้างเด็กรุ่นใหม่เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง