โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เลือกตั้งดันหุ้นกลุ่ม ‘จิราธิวัฒน์’ เด้งแรง!!

The Bangkok Insight

เผยแพร่ 21 ก.พ. 2562 เวลา 02.00 น. • The Bangkok Insight
เลือกตั้งดันหุ้นกลุ่ม ‘จิราธิวัฒน์’ เด้งแรง!!

ในช่วงต้นปี 2562 ปัจจัยที่มีอิทธิพลที่สำคัญกับตลาดหุ้นไทย นอกเหนือจากปัจจัยต่างประเทศเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนแล้ว ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ จะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ซึ่้งสะท้อนได้จากการประกาศกำหนดวันเลือกตั้งในช่วงปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา และกิจกรรมทางการเมืองมีหลายๆประเด็นที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่หุ้นตระกูลดังได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะหุ้นตระกูลจิราธิวัฒน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในกลุ่ม บริษัทเซ็นทรัล กรุ๊ป  โดยเฉพาะหุ้นอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ท่องเที่ยว และพัฒนาพื้นที่ให้เช่า ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับความคาดหวังมากที่สุดเป็นกลุ่มแรกๆ ซึ่งราคาหุ้นของแต่ละบริษัทในกลุ่มตระกูลนี้ ก็สะท้อนให้เห็นมาตั้งแต่ต้นปี 2562 จนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้นปี 2562 พบว่าหุ้นที่มีกลุ่มจิราธิวัฒน์ถือครอง จำนวน 5บริษัท ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด ยกเว้นหุ้นบริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ POST ปรับตัวลดลงมากสุด

โดย หุ้นกลุ่มตระกูลจิราธิวัฒน์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 5.07 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.32 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 4.75 แสนล้านบาท โดยหุ้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ประกอบด้วย

หุ้นบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL  ราคาปรับตัวขึ้น 15% มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 62,100 ล้านบาท บริษัทดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตนเอง เซ็นทารา โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เซ็นทรา และธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมภายใต้สัญญาบริหารโรงแรม รวมทั้งธุรกิจอาหารจานด่วนในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ของตนเอง คือ เดอะ เทอเรส และแฟรนไชส์ คือ มิสเตอร์โดนัท อาร์ตี้ แอนด์ เค.เอฟ.ซี เปปเปอร์ลันช์ โคล สโตน โยชิโนยะ โอโตยะ เทนยะ คัตสึยะ และ ชาบูตง มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ

รองลงมา บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 8.22% มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 15,168 ล้านบาท บริษัทดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องเขียน และอุปกรณ์สำนักงานผ่านแค็ตตาล็อก (Catalog) ระบบคอลเซนเตอร์ (Call Center) ระบบสั่งซื้ออิเล็กทรอนิกส์เฉพาะแต่ละองค์กร (e-Procurement) ระบบออนไลน์ (e-Commerce) และระบบขายผ่านหน้าร้าน (Store) และจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ผ่านระบบออนไลน์ (e-Commerce) และระบบขายผ่านหน้าร้าน (Store)

บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 6.3% มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 74,969 ล้านบาท บริษัทดำเนินธุรกิจธุรกิจค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าในนามห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซึ่งมีสาขาครอบคลุมพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 5.69% มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 354,552 ล้านบาท โดยบริษัทดำเนินธุรกิจพัฒนาและให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม อาคารที่พักอาศัย และศูนย์อาหาร รวมทั้งลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกและเป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ให้กองทุน

บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) หรือ POST ราคาหุ้นลดลง 16.67% มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท โดยบริษัทดำเนินธุรกิจผลิต และจำหน่ายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และหนังสือ รวมถึงข้อมูลข่าวสาร ผ่านช่องทาง multimedia อาทิ โทรทัศน์ วิทยุ และ digital media

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าหุ้น CENTEL เป็นหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นร้อนแรงมากที่สุด รองลงมาจะเป็นหุ้นกลุ่มค้าปลีก ขณะที่กลุ่มมีเดีย ถือว่าเป็นขาลงอย่างแท้จริง ซึ่งราคาหุ้นก็สอดรับในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมแต่ละประเภท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ความเห็นว่า การที่มีแรงซื้อหุ้น CENTEL เข้ามาผลักดันให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องเพราะมีความคาดหวังว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ กำไรน่าจะเพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากงวดไตรมาส 4 ของปี 2561 จากคาดการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ประกอบกับคาดการเลือกตั้งจะช่วยกระตุ้นให้การบริโภคและจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น ทำให้ธุรกิจร้านอาหารฟื้นตัวได้

สำหรับกำไรปกติปี 2562คาดโตต่ำ 5%จากงวดเดียวกันปีก่อน จากธุรกิจโรงแรมที่จะปรับปรุง (renovate) ประกอบคาดธุรกิจร้านอาหารแม้ได้อานิสงค์จากการเลือกตั้ง แต่ยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง จึงคงคำแนะนำให้น้ำหนักเท่าตลาด (Neutral) ซึ่งเรายังกังวลต่อการเติบโตในระยะกลาง ซึ่งคาดกำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้น เพราะการเติบโตแบบ organic growth ที่เริ่มจำกัด ในขณะที่การขยายโรงแรมใหม่ที่เป็นเจ้าของเองกว่าจะมีพอร์ตขนาดใหญ่เข้ามาคือช่วง 2564 นอกจากนี้ใน 2562 – 2563 จะมีการrenovate ครั้งใหญ่

ส่วนธุรกิจค้าปลีกนั้น ที่ผ่านมา ได้รับอานิสงส์จากความคาดหวังของการเลือกตั้งครั้งใหม่เช่นกัน แต่ยังมีภาพความไม่ชัดเจนในอนาคต อาจทำให้เป็นอุปสรรคต่อราคาหุ้นอยู่บ้าง

โดย บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินว่า เมื่อประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยประเมินภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปี 2562 ว่าจะทรงตัวหรือเติบโตประมาณ 3.0 -3.1% เพราะนักธุรกิจกังวลสถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้ง ซึ่งบรรยากาศการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐยังไม่ชัดเจน รวมถึงราคาสินค้าเกษตรยังชะลอตัวต่อเนื่อง

ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV เราประเมินว่าตลาดค้าปลีกของไทยจะเติบโต 3-4%ในปี 62ซึ่งใกล้เคียงกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยส่วนที่จะเติบโตได้ดี จะเป็นส่วนที่เกี่ยวกับค้าปลีกออนไลน์ และร้านสะดวกซื้อที่มี Economy of scale ขณะที่ค้าปลีกดั้งเดิมจะทรงตัว หรือหดตัวเล็กน้อย

บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า หุ้นโรบินสัน ยังคงมีกำไรสุทธิปี 2562ยังคงเติบโตดีกว่าปี 2561โดยคาดเติบโตราว 18%จากปีก่อน เป็น 3,555ล้านบาท และคาดว่าบรรยากาศจับจ่ายจะกลับมาดีในช่วงการเลือกตั้ง ขณะที่แผนการเปิดสาขา ทั้งนี้ แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตจาก กลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วน Private Brand รวมถึงราคาหุ้นปัจจุบันมี พีอีเรโชล่วงหน้า ต่ำเพียง 21.4 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่อยู่ที่ราว 30 เท่า ซึ่งถูกกว่ากลุ่ม

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0