โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เร่ขายโรงแรม 5 ดาว ยกเกาะ ทุนใหญ่กดราคา 50% ภูเก็ต-สมุย ทรุด

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 01 มิ.ย. 2563 เวลา 02.53 น. • เผยแพร่ 31 พ.ค. 2563 เวลา 16.00 น.
phuket-town-1731277_960_720

ธุรกิจโรงแรมทรุดหนักขายกิจการทั่วไทย ทุกไซด์-ทุกทำเล 3 – 5 ดาว ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าร้อยล้านถึงหมื่นล้าน ทั้งวงในและประกาศขายลงเว็บ เฉพาะ 3 จังหวัดท่องเที่ยวหลักภาคใต้ “ภูเก็ต-กระบี่-สมุย” เดี้ยงหนัก เชนใหญ่ กลาง โดยเฉพาะภูเก็ตพร้อมขายยกเกาะ ด้านทุนใหญ่ไทย สิงคโปร์ จีน นายหน้านอมินีต่างชาติดาหน้ากว้านซื้อ กดราคาต่ำกว่า 50% เจ้าของโรงแรมหลายแห่งบอกอึดได้แค่ไตรมาส 3 อนาคตลูกผีลูกคน จับตาแห่ประกาศขายกิจการเพิ่มอีกเพียบ

แหล่งข่าวในวงการธุรกิจโรงแรม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในพื้นที่หลายจังหวัดรวมแล้วหลายร้อยแห่งอยู่ระหว่างประกาศขายกิจการ ขณะที่กองทุนขนาดใหญ่ กลุ่มทุนไทย และนักลงทุนต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ จีน แสดงความสนใจที่จะเทกโอเวอร์ แต่ส่วนใหญ่ต้องการซื้อของถูกและกดราคารับซื้อ โดยเฉพาะโรงแรมในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ จ.ภูเก็ต เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จ.กระบี่ รวมถึงโรงแรมในพัทยา จ.ชลบุรี สำหรับโรงแรมที่บอกขายมีทั้งขนาดใหญ่ ระดับ 4-5 ดาว มูลค่าการลงทุน 1,000-10,000 ล้านบาท ขนาดกลาง ระดับ 3 ดาว บอกขายราคา 500-1,000 ล้านบาท และโรงแรมขนาดเล็ก ระดับราคาตั้งแต่ 50-100 ล้านบาท

สาเหตุมาจากโรงแรมเหล่านี้มีรายได้หลักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 90% โดยเฉพาะยุโรป จีน สแกนดิเนเวีย รัสเซีย อินเดีย ซึ่งยังมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนั้น แม้รัฐบาลไทยจะเริ่มคลายล็อกกิจการโรงแรมเพื่อดึงให้คนไทยเที่ยวไทยก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้มีรายได้กลับมาพอจะคุ้มทุน หลายโรงแรมมีรายได้เป็นศูนย์บาท อีกทั้งแนวโน้มว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิดทั่วโลกจะลากยาวไปอีก 2 ปีกว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นกลับมา การประคองกิจการให้อยู่รอดได้กว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นจึงเป็นเรื่องยาก

โรงแรมแห่ขายเหนือจดใต้

นายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม ใน จ.ชลบุรี ภูเก็ต กระบี่ เกาะสมุย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ธุรกิจโรงแรมวิกฤตหนักขึ้น จึงมีการบอกขายกิจการจำนวนมากทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต สมุย กระบี่ เขาหลัก (พังงา) ระยอง พัทยา ชลบุรี นาจอมเทียน สัตหีบ แต่ที่หนักสุด ได้แก่ ภูเก็ต เกาะสมุย กระบี่ เขาหลัก (จ.พังงา) บอกขายยกโรงแรม ในจำนวนนี้มีทั้งโรงแรมที่บริหารผ่านเชนดัง หรือของคนไทย และมีทุกระดับทุกขนาดตั้งแต่ 5 ดาว ราคา 5-6 พันล้านบาท จนถึงโรงแรมขนาดเล็กราคา 100 ล้านบาท ผู้ประกอบการโรงแรมจะหายไปเกินครึ่ง บางโรงแรมมีภาระหนี้สถาบันการเงินสูงมาก ตอนนี้ใครมีเงินเย็นในมือถือเป็นโอกาสที่จะซื้อกิจการราคาถูก แต่ช่วงนี้ราคายังลงไม่มาก ส่วนใหญ่ราคาที่บอกขายต่ำกว่าราคาตลาด 20-30% เชื่อว่าราคายังลงอีกช่วงไตรมาส 2-3 จากนั้นไตรมาส 4 จึงจะเริ่มดีขึ้น

“วิกฤตโควิดไม่มีใครรอด รวย จน เจ็บเหมือนกันหมด ตอนนี้ใครอยากได้โรงแรมลักษณะไหนมีขายหมด สำหรับกิจการในเครือรัตนากรแอสเซทที่มีแผนลงทุนโรงแรม 2 แห่งในภูเก็ต ไม่ได้ชะลอแผนการลงทุน อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กว่าจะลงทุนสร้างเสร็จ เหตุการณ์ก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ หากชะลอแผนการก่อสร้างไปจะไม่ทัน ผมคิดว่า ธุรกิจโรงแรมกระทบแรง กระทบเร็ว และจะเริ่มฟื้นตัวได้ภายใน 2 ปี”

อนึ่ง ปัจจุบันชลบุรีมีโรงแรม 2,500 แห่ง มีห้องพัก 200,000 ห้อง

เครือกะตะชี้วิกฤตยาวถึงปี”65

นายสมบัติ อติเศรษฐ์ ประธานบริหารโรงแรมในเครือกะตะธานี คอลเลคชั่น ผู้บริหารธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตในภูเก็ต กระบี่ พังงา สมุย รวมกว่า 10 แห่ง เปิดเผยว่า ทราบข่าวว่ามีนักลงทุนต่างชาติ และกองทุนใหญ่สนใจเข้ามาซื้อกิจการโรงแรมในไทยจำนวนมาก แต่ตอนนี้วิกฤตโรงแรมยังไม่ถึงจุดต่ำสุด และปัจจุบันดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำประมาณร้อยละ 3 ธุรกิจจึงยังพอประคองตัวไปได้ แต่คิดว่าวิกฤตจะลากยาวไปถึงปลายปี 2564 ถึงตรงนั้นจะมีกี่คนที่ทนยืนอยู่ไหว ถ้าไม่ไหวก็ต้องขายทิ้งกิจการ โดยเฉพาะโรงแรมที่มีภาระหนี้กับสถาบันการเงิน และคิดว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้านักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาเหมือนเดิม น่าจะลากยาวไปถึงปลายปี 2565 กิจการจึงค่อยฟื้นกลับมา ใครสายป่านยาวไม่ยาวอยู่ได้ยาก แม้รัฐบาลจะให้โรงแรมเปิดบริการได้ในเดือน มิ.ย.นี้ แต่มีลูกค้าคนไทยเพียง 10% ก็อยู่กันไม่ได้ เปิดกิจการไปก็ขาดทุน เพราะโรงแรมส่วนใหญ่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก

“ผมทำธุรกิจโรงแรมมาเกือบ 40 ปี ครั้งนี้วิกฤตหนักสุด ๆ ยังไม่เคยเจอมาก่อน เคยผ่านวิกฤตปี 2540 เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิก็ยังไม่เท่า ปีเดียวก็ฟื้นได้แล้ว แต่โรคระบาดเป็นเรื่องที่ไม่เคยเจอ ตอนนี้ธุรกิจโรงแรมทุกแห่งหยุดกิจการหมด รายได้เป็นศูนย์ แต่เราจะไม่ลดพนักงาน ตอนนี้พนักงานได้รับความช่วยเหลือจากประกันสังคม แต่อีก 3 เดือนข้างหน้าหลังจากเดือน มิ.ย. 2563 หากรัฐบาลจะปลดล็อกธุรกิจโรงแรม ต้องเตรียมทำแผน พนักงานต้องปรับตัวกันอีกครั้ง แต่อาจต้องมาดูว่าต้องปรับลดเวลาทำงานให้น้อยลงเหลือ 25% เพื่อยืดการใช้เงินสดที่มีในมือออกไปได้”

ภูเก็ตขายโรงแรมยกเกาะ

แหล่งข่าวเจ้าของกิจการโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตกล่าวในทำนองเดียวกันว่า ตอนนี้ถ้าใครต้องการซื้อกิจการโรงแรมในภูเก็ตทุกคนอยากขายหมด หากได้ราคาที่สมเหตุสมผล ไม่มีใครอยากเก็บไว้ ทั้งโรงแรมเชนใหญ่ของต่างชาติ โรงแรมของคนไทย โดยตอนนี้ราคาลดลงจากราคาตลาดช่วงภาวะปกติ 15-20-30% แต่ในวงการคุยกันว่า ตอนนี้นายทุนมีทั้งคนไทย สิงคโปร์ จีน และนายหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนอมินีของทุนต่างชาติที่ติดต่อขอซื้อเข้ามาต่างกดราคากันหนักมาก 50-60% ทำให้ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ ปัจจุบันภูเก็ตมีโรงแรมทั้งหมด 1,800 แห่ง มีห้องพัก 100,000 ห้อง

ขณะที่อีกหลายรายยังไม่กล้าเปิดตัวประกาศขาย ขณะที่โรงแรมที่ประกาศขายกันวงในตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมสร้างใหม่ ระดับ 4-5 ดาว แถบป่าตอง มีสาย 2 สาย 3 หลายแห่งไม่ได้อยู่ติดชายทะเล ราคาขายระดับหลักพันล้านขึ้นไป เนื่องจากมีภาวะกู้เงินกับธนาคารจำนวนมาก ถ้าเคลียร์หนี้กับเจ้าหนี้ไม่ได้ จะไม่มีดอกเบี้ยและเงินต้นจ่าย ต่างชาติจึงจ้องรอซื้อของถูก สำหรับราคาโรงแรมที่บอกขายมีทุกระดับราคาตั้งแต่หลัก 100-1,000-6,000 ล้านบาทขึ้นไป ระดับกลางลงมาตั้งแต่ 100-200-300 ล้านบาท

“วิกฤตรอบนี้หนักกันสุด ๆ รายได้เป็นศูนย์กันหมด หนักที่สุดเท่าที่ภูเก็ตเจอกันมา โรคซาร์สรายได้ลด 40-50% ยังอยู่กันได้ แต่นี่ zero คนไทยยังไม่กล้าไปภูเก็ตเลย คนทำโรงแรมอยู่แล้วไม่ซีเรียสเขาพร้อมขาย พอเศรษฐกิจดี ค่อยมาสร้างใหม่ก็ได้ ภาพรวมทุกคนอยากเทขาย เก็บเงินสดไว้ดีสุด แต่ต้องการขายราคาเท่าทุน หรือบวกกำไรนิดหน่อย ตอนนี้มีมาถามกันเยอะ แต่ดีลกันไม่จบ คิดว่าคนซื้อรอจังหวะด้วย หวั่น ๆ อยู่ว่าช่วงไตรมาส 3 น่าจะหืดขึ้นคอ ผู้ประกอบการน่าจะแบกรับภาระไม่ไหว เมื่อถูกแบงก์ไล่บี้ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ธุรกิจโรงแรมของไทยจะถูกต่างชาติเข้ามาฮุบกิจการไปหมด”

สมุยหมดยุคทองเร่ขาย 100 รร.

นายวรสิทธิ์ ผ่องคำพันธ์ นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย และรองกรรมการผู้จัดการโรงแรมในเครือโนรา เกาะสมุย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เกาะสมุยมีโรงแรมทั้งหมดราว 600 แห่ง มีห้องพัก 30,000 ห้อง เคยมีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 40,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้ขายห้องพักได้ไม่ถึง 1,000 ห้อง แม้ล่าสุดสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้เริ่มทำการบินวันละ 2 เที่ยวบิน เที่ยวละ 70 ที่นั่ง ภาคการท่องเที่ยวเริ่มขยับขึ้นมาเล็กน้อย 10% มีนักท่องเที่ยว 1,500-2,000 คน แต่ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะนักท่องเที่ยวเกาะสมุยเป็นชาวต่างชาติ 90% ซึ่งตอนนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังเป็นศูนย์ ไม่มีการเดินทางเข้ามา ส่งผลให้ขณะนี้มีโรงแรม 20% หรือ 120 แห่ง ถอดใจประกาศขายกิจการ มีทั้งโรงแรมขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ทั้งที่เจ้าของบอกขายเอง ฝากประกาศขายทางเพจ และขายผ่านนายหน้า

วันนี้หมดยุคทองของเกาะสมุยแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ การประคับประคองกิจการ มีแต่จะทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายไม่มีทางยืนอยู่ได้ แม้พยายามประคับประคองกิจการ โดยขายห้องพักในราคาสุดประหยัด หรือออกแพ็กเกจชวนคนใต้ เที่ยวภาคใต้ โดยโรงแรมหลายแห่งจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งในเดือน มิ.ย. แต่คงไม่ได้เปิดเต็ม 100% อาจลองเปิดเพียง 10-20 ห้อง ให้มีนักท่องเที่ยวคนไทยเข้ามาบ้าง จากนั้นไตรมาสแรกปี 2564 จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ทั้งนี้ การกลับมาเปิดโรงแรมใหม่อีกครั้งคงต้องลดสเกล ลดห้องพัก ลดพนักงาน

ปลายปีกระบี่แห่ขาย รร.เพิ่ม

ขณะที่นายเอกวิทย์ ภิญโญธรรมโนทัย ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.กระบี่ กล่าวว่า สำหรับการประกาศขายกิจการโรงแรมในกระบี่เริ่มมีมาตั้งแต่ก่อนเกิดไวรัสโควิด แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องราคาได้ เมื่อเกิดวิกฤตโควิดผู้ซื้อยิ่งไม่กล้าเสี่ยงซื้อ สรุปคือขายกิจการไม่ได้ จะเปิดให้บริการก็ขาดทุน เชื่อปลายปี 2563 จะมีผู้ประกอบการโรงแรมในกระบี่จะประกาศขายกิจการเพิ่มขึ้นอีก

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจการท่องเที่ยวการโรงแรมในกระบี่ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเริ่มส่งผลมาตั้งแต่เดือน ก.พ. ยาวถึง พ.ค. คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 120,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่ากว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาได้ไตรมาส 4 หรือเดือน พ.ย. 2563 แต่คงไม่มาก เนื่องจากในต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของกระบี่ ยังมีปัญหาหนัก

200 รร.ใหญ่-เล็กขายผ่านเว็บ

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า จากการสำรวจการประกาศขายโรงแรมตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น DotProperty.co.th ddproperty.co.th พบว่า ในพื้นที่ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) และชลบุรี (พัทยา) ช่วงตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. ถึงขณะนี้ มีการประกาศขายโรงแรม รีสอร์ต เกสต์เฮาส์ และวิลล่าจำนวนมาก ที่ออกประกาศขายชัดเจนราว 198 แห่ง ประกอบด้วย ภูเก็ต 102 แห่ง กระบี่ 12 แห่ง เกาะสมุย 42 แห่ง พัทยา 42 แห่ง ราคาตั้งแต่ 20-3,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยแบ่งออกเป็นราคา 20-100 ล้านบาท ได้แก่ ภูเก็ต 50 แห่ง กระบี่ 9 แห่ง เกาะสมุย 28 แห่ง พัทยา 19 แห่ง รวม 106 แห่ง ราคา 100-1,000 ล้านบาท ภูเก็ต 38 แห่ง กระบี่ 2 เกาะสมุย 12 แห่ง พัทยา 16 แห่ง รวม 68 แห่ง ราคา 1,000-2,000 ล้านบาท ภูเก็ต 4 แห่ง กระบี่ 1 แห่ง เกาะสมุย 2 แห่ง พัทยา 4 แห่ง รวม 11 แห่ง ราคา 2,000-3,000 ล้านบาทขึ้นไป ภูเก็ต 10 แห่ง พัทยา 3 แห่ง รวม 13 แห่ง

ยกตัวอย่าง หาดป่าตคอง จ.ภูเก็ต ประกาศขาย The Lantern Patongm ระดับ 4 ดาว มูลค่า 1,000 ล้านบาท, เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ประกาศขาย Paradise Beach Resort ระดับ 4 ดาว มูลค่า 650 ล้านบาท โรงแรมอมรินทร์สมุย ระดับ 3 ดาว มูลค่า 299 ล้านบาท, พัทยา จ.ชลบุรี, The magnolias pattaya ระดับ 3 ดาว มูลค่า 125 ล้านบาท, Novotel pattaya Modus Beachfonr Resort ระดับ 5 ดาว มูลค่า 1,800 ล้านบาท, โรงแรมมูลค่า 7,800 ล้านบาท มูลค่า 299 ล้านบาท

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0