จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับคะแนนที่คนอื่นมอบให้?
ในซีรีส์ Black Mirror ของ Netfix เราจะเห็นตอนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘Nosedive’ ซึ่งเล่าถึงสังคมเมืองที่มีระบบการให้คะแนนนิยม ยิ่งคะแนนสูงมากยิ่งได้รับสิทธิพิเศษมาก แต่ตอนนี้สังคมที่ว่านั้นไม่ได้อยู่แค่ในซีรีส์อีกต่อไป เพราะในปัจจุบันประเทศจีนเองก็มีการใช้ระบบที่ใกล้เคียงกันนี้ ในชื่อว่า Social Credit
เมื่อแดนมังกรกลายเป็น Black mirror ในโลกแห่งความจริง
ถึงจะบอกว่าเหมือนกัน แต่จริงๆแล้วในโลกแห่งความจริงและโลกซีรีส์ก็มีระบบที่แตกต่างกันอยู่
ใน Nosedive จากซีรี่ส์ Black Mirror มีระบบการให้คะแนนค่านิยมโดยเพื่อนทางออนไลน์ ผู้คนมีดวงตาที่สามารถเห็นคะแนนค่านิยมของคนรอบข้างได้ ซึ่งสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิตในสังคมนี้คือการสร้างภาพให้ตัวเองมีความสุขและทำตัวเป็นคนดีของสังคม เป็นเพื่อนกับคนที่มีคะแนนสูงกว่าโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะให้คะแนนตัวเอง เรียกได้ว่าระบบนี้มีส่วนสำคัญคือการทำดีต่อสังคม ทำตามกฎระเบียบ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
แต่ในโลกความจริงนั้นต่างออกไป เพราะที่ประเทศจีนได้เริ่มทำระบบที่คล้ายคลึงกันอย่างระบบ Social Credit ซึ่งยังคงเป็นการทำตามกฎระเบียบและการทำดีต่อสังคม แต่การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างอาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นอย่างในซีรี่ย์ เพราะระบบจะเป็นผู้ให้คะแนนผ่านข้อมูลออนไลน์และการใช้ชีวิตประจำวันในสังคม ดวงตาในการสำรวจผู้คนเป็นของกล้องวงจรปิด และการเป็นเพื่อนกับคนที่มีคะแนนต่ำกว่านอกจากจะไม่สามารถช่วยเพื่อนคนนั้นได้แล้ว ยังเป็นการฉุดคะแนนของตัวเองให้ต่ำลงไปด้วย!
ถึงกระนั้น สิ่งที่เหมือนกันทั้งในโลกของซีรีส์และโลกความจริงคือสิทธิพิเศษสำหรับผู้มีคะแนนสูง ยิ่งคะแนนสูงมากเท่าไหร่สิทธิพิเศษที่ได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่มีคะแนนต่ำคุณจะถูกตัดสินว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ และถูกจำกัดสิทธิต่างๆในทันที ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการทำตัวดีในสังคมเพื่อให้ได้คะแนนค่านิยมซึ่งหากเพิ่มหรือลดเพียงนิดเดียวก็อาจเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล
Social Credit หนทางใหม่ในการควบคุมประชากร
วันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เป็นวันแรกที่ข้อมูล Social Credit ออกมาอย่างเป็นทางการ และในเวลาต่อมารัฐบาลจีนได้ขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba โซเชียลมีเดียอย่าง Wechat และขอความร่วมมือจากบริษัทการเงินถึง 44 แห่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลของประชาชนอย่างครบวงจรที่สุด ทำให้รัฐบาลจะมีข้อมูลตั้งแต่ประวัติการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ การจับจ่ายซื้อของ หรือแม้แต่ความคิดเห็นทางการเมืองซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัว
แต่วันที่14 มิถุนายน ไม่ใช่วันแรกที่มีการใช้งานระบบนี้ ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ได้มีการทดลองระบบนำร่องตั้งแต่ปี 2010 แต่ในตอนนั้นโครงการนี้ล้มเหลวเพราะข้อมูลที่ไม่มีประสิทธิภาพ
รัฐบาลจีนได้ประกาศว่า Social Credit นั้นเกิดขึ้นเพื่อเป็นมาตรฐานของความซื่อสัตย์ ความจริงใจ และสร้างความน่าเชื่อถือในประเทศ
เกณฑ์ในการให้คะแนนนั้นมีอยู่ 3 ส่วนหลักๆคือ พฤติกรรมการใช้จ่าย, พฤติกรรมในสังคม และพฤติกรรมออนไลน์ โดยรัฐบาลจะตรวจสอบตั้งแต่เวลาการจ่ายค่าอุปโภคบริโภค การทำตามกฎระเบียบของสังคม การดูแลคนในครอบครัว บทสนทนาทางออนไลน์ แม้แต่การซื้อของออนไลน์ก็จะถูกนำมารวมอยู่ในเกณฑ์ตัดสินด้วย
สำหรับผู้มีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ดี จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ
สามารถกู้เงินได้มากขึ้น
ได้รับส่วนลดในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินและรถไฟในราคาพิเศษ
ได้รับทุนการศึกษา หรืออาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งงานที่ดีกว่าปัจจุบัน
แต่สำหรับผู้ที่มีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะถูกตัดสิทธิ์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
การลดความเร็วอินเทอร์เน็ต
ห้ามทำธุรกรรมบางอย่างกับธนาคารหรือระบบราชการ เช่น การกู้ยืมเงิน
หรือล่าสุดที่มีการประกาศว่าผู้ที่มีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ไม่สามารถซื้อตั๋วเดินทาง และไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้
จะเห็นได้ว่าระบบ Social มีการมอบรางวัลให้กับผู้ที่ทำคะแนนได้ดี และมอบบทลงโทษให้กับผู้ที่ทำคะแนนได้ไม่ถึงเกณฑ์อย่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลจีนก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีการใช้ระบบนี้อย่างจริงจัง และหากวิเคราะห์จะเห็นว่าระบบนี้ทำให้ประเทศจีนมีการพัฒนาขึ้นในหลายๆด้าน
ทำให้สังคมมีระเบียบวินัยมากขึ้น ชาวจีนจะเคารพกฎหมายและกฎจราจรมากขึ้น เนื่องจากกลัวถูกตัดคะแนนจากการผิดกฎ
ลดการเกิดหนี้ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต หนี้บัตรเครดิต ซึ่งทำให้ระบบการเงินหมุนเวียนขึ้น
ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายจากสินค้าฟุ่มเฟือยทำให้มีเงินเก็บมากขึ้น
ทำให้ผู้ที่ประพฤติตัวดีได้รับโอกาสและรางวัลที่ดี เช่นรางวัลเล็กๆเช่นการเช่าจักรยานฟรี ไปจนถึงโอกาสในการได้รับงานที่ดีกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน หากมองลงไปอีกจะพบว่าระบบ Social Credit เองก็ยังมีข้อเสียที่เห็นได้ชัดอยู่หลายอย่าง อาทิ
หากได้รับหรือถูกตัดคะแนนจนเหลือน้อยจะถูกตัดสิทธิ์บางอย่าง เช่น ลดความเร็วอินเทอร์เน็ต ห้ามออกนอกประเทศ
ทันทีที่ระบบตัดสินว่าคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ รายชื่อก็จะถูกจัดให้อยู่ใน Black list ทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
หากเคยมีประวัติอาชญากรรมหรือมีความผิดจากชั้นศาล ข้อมูลนั้นจะถูกนำมาใช้กับการนับคะแนนในปัจจุบันด้วย
รัฐบาลสามารถรับรู้บทสนทนาส่วนตัวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะเสี่ยงต่อการถูกตัดคะแนน
หากคะแนนของเพื่อนทางออนไลน์ต่ำกว่า ก็จะทำให้คะแนนของคุณถูกลดลงไปด้วย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนทอดลองใช้ Social Credit
ปี 2010 รัฐบาลจีนได้เปิดตัวโครงการนำร่องระบบที่เมืองชุ่ยหนิง ซึ่งโครงการก็ล้มเหลวเนื่องจากข้อมูลที่ไม่สม่ำเสมอ แม้แต่หนังสือพิมพ์ของรัฐอย่าง China Youth Daily ยังวิจารณ์โครงการนี้ว่าเป็นการใช้ข้อมูล “ทางการเมือง” และ “ประชาชนควรเป็นฝ่ายให้คะแนนเจ้าหน้าที่รัฐ”
ปี 2103 รัฐบาลได้ทดลองระบบนี้อีกครั้ง โดยคราวนี้ทดลองถึง 30 กว่าเมือง มีเพียงเมืองเดียวที่ประสบความสำเร็จ คือ เมืองหยงเฉิง
ปี 2014 รัฐบาลจีนเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับระบบ Social Credit
ปี 2015 เริ่มใช้ระบบ Social Credit
ปี 2018 Xi Jinping ประธานาธิบดีจีนคนปัจจุบันออกมาประกาศใช้ Social Credit อย่างเป็นทางการ
ในปัจจุบันประเทศจีนกำลังขยายระบบนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากระบบนี้ทำให้ชาวจีน 9 ล้านคนไม่สามารถซื้อเที่ยวบินภายในประเทศ และอีก 3 ล้านคนไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินชั้น Business class ยังไม่รวมชาวจีนอีก 6 ล้านคนที่ไม่สามารถออกนอกประเทศ และขึ้น Black list เนื่องจากคะแนนไม่ถึงเกณฑ์
นาย Zhang Yong รองอธิบดีคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) กล่าวว่า
ระบบนี้จะกระจายไปทั่วประเทศในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยจะมีการเพิ่มรางวัลและบทโทษให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นประชาชน
ในประเทศจีน ชาวจีนส่วนใหญ่ค่อนข้างเห็นด้วยกับระบบ Social Credit พฤติกรรมของชาวจีนในปัจจุบันที่ใช้จ่ายออนไลน์ผ่านระบบ sesame credit และ Alipay ทำให้ง่ายต่อการได้คะแนน พวกเขาพอใจกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ และสังคมที่เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
Chen ผู้ประกอบการรายหนึ่งเห็นว่า ตั้งแต่มีการใช้ระบบ Social Credit ผู้คนก็มีความประพฤติที่ดีขึ้นตามลำดับ เช่นเมื่อขับรถ เราจะต้องหยุดรถก่อนถึงทางม้าลายไม่เช่นนั้นจะถูกหักคะแนน
แต่ระบบ Social Credit ในตอนนี้ก็ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์แบบ
Li Xiaolin เป็นหนึ่งในคนที่ถูกตัดสินจากระบบ Social Credit ว่าเป็นบุคคลไม่น่าเชื่อถือ ทำให้เขาไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินได้ จากข้อมูลระบบพบว่าเขาไม่ทำตามคำสั่งของศาลในปี 2015 ทั้งที่ Li Xiaolin ปฏิบัติตามคำสั่งศาลด้วยการเขียนจดหมายขอโทษแล้ว แต่ศาลถือว่าคำขอโทษของนาย Li Xiaolin ไม่จริงใจ เพราะเขียนในวันที่ 1 เมษายน
นอกจากกรณีของ Li Xiaolin แล้ว ชาวจีนเองก็ไม่พอใจกับเกณฑ์การนับคะแนนบางอย่างของ Social Credit ที่ชัดเจนที่สุดคือการเสียคะแนนเนื่องจากเพื่อนบนโลกออนไลน์นั้นมีคะแนนต่ำ ชาวจีนมองว่าระบบนี้ไร้สาระและพวกเขาไม่คิดจะเลิกกับเพื่อนเพื่อรักษาคะแนน
แม้ว่าระบบ Social Credit จะดำเนินการมาเนิ่นนานแล้ว แต่ระบบนี้ก็ยังมีจุดบกพร่องในการใช้ข้อมูลเก่ามารวมกับการให้คะแนนในปัจจุบัน การนำรายชื่อของผู้ที่มีคะแนนต่ำเข้าBlack list ทันที และการนำปัจจัยอื่นอย่างคะแนนของเพื่อน หรือความคิดเห็นทางการเมืองมาใช้ในการนับคะแนนร่วม ทำให้ระบบนี้ยังขาดความเป็นกลางในการให้คะแนน
แต่ก็ต้องยอมรับว่าระบบ Social Credit นี้ทำให้สังคมจีนเคารพกฎระเบียบและมีวินัยกันมากขึ้น จากข้อดีนี้ทำให้ประเทศเยอรมันเองก็สนใจที่จะนำระบบนี้ไปใช้ ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่านอกจากเยอรมันแล้วจะมีใครสนใจนำระบบนี้ไปใช้อีกหรือไม่ และบางทีไทยอาจเป็นรายต่อไปก็ได้
Write by KUNWARA.C
Source:
https://twitter.com/kashthefuturist/status/1005724226114998273
https://www.telegraph.co.uk/news/2018/03/24/chinas-social-credit-system-bans-millions-travelling/
http://www.businessinsider.com/china-social-credit-system-punishments-and-rewards-explained-2018-4
https://www.hrw.org/news/2017/12/12/chinas-chilling-social-credit-blacklist