โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เรือเหล็กสนิมเขรอะ

สยามรัฐ

อัพเดต 19 ก.ค. 2562 เวลา 22.00 น. • เผยแพร่ 19 ก.ค. 2562 เวลา 22.00 น. • สยามรัฐออนไลน์
เรือเหล็กสนิมเขรอะ

จาก “เรือแป๊ะ” มาสู่ “เรือเหล็ก” แต่ “กัปตัน” ยังคงเป็นคนเดิม คนที่ชื่อ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งกุมหางเสืออยู่ท้ายเรือ ในฐานะ “นายกรัฐมนตรีสมัยที่2” กำลังโลดแล่นไปในนาวาที่เต็มไปด้วยคลื่นลม และพายุใหญ่ ให้ต้องฟันฝ่า !

ทว่าการที่กัปตันคนเดิม อย่างพล.อ.ประยุทธ์ จะถือหางเสือ คัดท้ายกำหนดทิศทางให้เรือเหล็กลำนี้ ลอยลำไปได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นรัฐบาลที่อยู่จนครบเทอม หรือมีอันต้องไปอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือนตามที่ฝ่ายค้าน เย้ยเยาะเอาไว้ ย่อมเป็นเรื่องที่ชวนให้ติดตามยิ่งนัก

“วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี มือกฎหมายของรัฐบาลที่ได้กลับมานั่งในตำแหน่งผู้เล่นเดิม เป็นสมัยที่2 คือเป็นให้คำนิยามรัฐบาลชุดใหม่ ว่ามีความแข็งแกร่ง ประดุจ “เรือเหล็ก” หลังจากที่ “เรือแป๊ะ” คือ “ประยุทธ์1” หมดวาระลง แล้วจอดเทียบท่า เปิดทางให้มีการเลือกตั้ง เมื่อ24มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา

“ ไม่มีเรือแป๊ะแล้ว จบ บัดนี้เรือลำใหญ่มาก เพราะบรรทุกคนก็เยอะกว่า สินค้าก็เยอะกว่า ความรับผิดชอบก็มากกว่า แต่ว่าบังเอิญเรือมันใหญ่ยังไม่รู้ ยังตั้งไม่ออก มันใหญ่กว่าเรือแป๊ะ เพราะเรือแป๊ะมันเป็นไม้ เรือลำนี้พื้นมันเป็นเหล็ก

ดังนั้น เมื่อเป็นเหล็กสนิมมันเกิดได้ และปกติสนิมเกิดแต่เนื้อในเหล็ก อะไรก็ตามที่เป็นเหล็กสนิมมันเกิดได้ทั้งนั้น อะไรก็ตามที่เป็นแผล บาดทะยักก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น อะไรที่ป่วย โลหิตก็เป็นพิษได้ทั้งนั้น ส่วนวิธีป้องกันก็ต้องหามา ซึ่งทุกคนจะเป็นคนป้องกัน” (3กรกฎาคม2562)

นอกจากนี้วิษณุ ยังได้บอกถึง “คุณสมบัติ” ของเรือเหล็กด้วยว่า “ไม่รั่ว แค่สนิมขึ้น” หมายความว่า ถ้าเมื่อใดที่เกิดสนิม ไม่ว่าจะมาจาก “สนิมเนื้อใน” หรือปัจจัยภายนอก ย่อมจะสร้างความสุ่มเสี่ยง ตามมาทันที

น่าสนใจว่าปัจจัยภายนอก ดูจะกร้ำกรายรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ยากเต็มที เพราะไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวจาก “7 พรรคฝ่ายค้าน” เองที่บัดนี้แม้จะมีความพยายาม “ออกแอคชั่น” ทั้ง “พรรคเพื่อไทย-อนาคตใหม่” แต่ลึกๆแล้ว แกนนำในพรรคเองต่างรู้ดีว่า แรงที่มีอยู่นั้นอาจเป็นเพียง “ไม้ซีก” ที่คิดจะงัดง้างกับ “ไม้ซุง” ก็เท่านั้น

เนื่องจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เองได้วาง “กับดัก” เอาไว้ทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้ “ฝ่ายตรงข้าม” โจมตี รัฐบาลใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะกับดักในรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่การกำหนดกติกาให้ “นักการเมือง” ลงมาเล่น

ถึงกระนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ได้ออกแบบเอาไว้ให้เกิด “รัฐบาลผสม” ป้องกันไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่ง ชนะขาดชนิดถล่มทลาย จนเกิดเป็นปัญหาการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเมื่อครั้งในอดีตก็จริงอยู่

แต่เชื่อเถอะว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเอง ก็คงไม่คาดว่า รัฐบาลชุดใหม่ จะมีพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล มากเป็นประวัติการ ถึง 19 พรรค และแม้จะมีพรรคที่ได้รับโควต้าในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่ครบทั้ง 19 พรรค แต่การที่มีตัวแทนถึง5 พรรคก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ยิ่งถ้ามองลึกลงไปภายในรัฐบาลแล้วจะพบว่า ลำพัง “ความยุ่งยาก” อันเกิดจาก “กลุ่มก๊วน” ภายในของพรรคพลังประชารัฐ อันเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเองนั้นก็ต้องนับว่าหนักหนาสาหัส ไม่ใช่น้อย เพราะต้องไม่ลืมว่า กว่าที่การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีจะเสร็จเรียบร้อย ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ที่เกิดความล่าช้านั้นก็ล้วนแล้วแต่มาจากปัญหา “ศึกใน” พลังประชารัฐเพียงพรรคเดียว

ทั้งปัญหาการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี ระหว่าง “กลุ่มสามมิตร” กับ “กลุ่มกปปส.” หรือการที่ต้องหักโควต้าของกลุ่มส.ส.ภาคใต้ จนเกิดเป็นวลีร้อนๆ “แย่งชามข้าว” ให้ต้องอับอายกันทั้งพรรค กว่าที่กลุ่มสามมิตรจะยอม “กลืนเลือด” ถูกยึดโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี ฝ่ายที่อกหักก็ถึงกับต้องเปิดโต๊ะแถลงข่าว “ขับไล่” แกนนำระดับ “เลขาธิการพรรค” อย่าง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ก็ทำกันมาแล้ว

เรียกว่าเรื่องร้อนๆที่พรรคพลังประชารัฐ ถึงกับทำให้พล.อ.ประยุทธ์ “นั่งไม่ติด” จนต้องออกสารจากนายกฯเพื่อขอโทษประชาชนแทนพรรคพลังประชารัฐ ที่เกิดกรณีความขัดแย้งภายในพรรค

สำหรับศึกในที่กลุ่มก๊วนเปิดศึกแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีก็นับว่าสร้างความเสียหายมากพออยู่แล้ว แต่ยังกลายเป็นว่า ชื่อชั้นของรัฐมนตรีบางรายที่ “เล็ดรอด” ผ่านสื่อออกมา ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาล เผชิญกับเสียงโจมตีอย่างรุนแรง

เมื่อปรากฎชื่อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” มือประสานสิบทิศที่ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯให้ความไว้วางใจ แต่กลับติดขัดในเรื่องคดีเก่าในอดีต อีกทั้งยังติดภาพผู้มีอิทธิพล เช่นเดียวกับ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่แม้จะอยู่ต่างพรรค แต่ชาดา ก็มีชื่อมาในโควต้าของภูมิใจไทย จนสุดท้าย ชาดา ต้องยอมถอย ไม่ขอรับตำแหน่ง แล้วส่ง “น้องสาว” คือ “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” เข้ามารับตำแหน่ง “รมช.เกษตรฯ” แทน

ถึงกระนั้นปัญหา “ภาพลักษณ์” นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและส่งผลต่อ “ความเชื่อมั่น” ต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ที่สุดแล้วรัฐมนตรีที่ล้วนแล้วแต่มีชื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์จะเรียกร้องขอโอกาสได้พิสูจน์ “ผลงาน” ก็ตาม แต่เมื่อภาพลักษณ์ คือปราการด่านแรกที่จะเรียกความมั่นใจ และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดึงดันเลือกแต่งตั้งคนที่มีปัญหาถูกโจมตีมาตั้งแต่แรก ก็ไม่ต่างไปจากการ “ท้าทาย” ฝั่งตรงข้ามรวมทั้งยังเหมือนไม่สนใจปฏิกริยาจากผู้คนในสังคม อยู่ดี

และคงไม่ต้องคาดเดาอีกเช่นกันว่าปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ และคุณสมบัติของรัฐมนตรี ในครม.ชุดนี้จะถูกฝ่ายค้านหยิบไปถล่มอย่างหนักหน่วงตลอดการประชุมรัฐสภา ในวาระที่รัฐบาลต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในสัปดาห์หน้า

นอกจากนี้ ปัญหาที่ถูกจับตาว่า จากความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ อันเนื่องมาจากการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น ที่จริงแล้วแค่การ “สงบศึกชั่วคราว” แต่ความแค้นของคนที่อกหักยังคง “คุกรุ่น”อยู่ในใจ รอจังหวะ “เอาคืน” กันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะยิ่งเป็นการวัดพลังต่างก๊วนด้วยแล้ว ยิ่งน่าหวั่นใจว่า ในการยกมือโหวตวาระสำคัญในสภาฯ ของ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะมั่นใจได้อย่างไรว่า “เอกภาพ” นั้นมีอยู่อย่างเข้มแข็งเหมือนกับที่เคยควบคุมกำลังพลในกองทัพมาแล้ว

เมื่อทุกเสียงในสภาฯล้วนมีความหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัญหา “ร้าวลึก” จากความขัดแย้งในการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี และมีแนวโน้มว่าปัญหาจะยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ เมื่อในแต่ละกระทรวง ยังประกอบด้วยรัฐมนตรีที่มาจาก ต่างพรรคกัน ต่างฝ่ายจะบริหาร “ผลงาน”และ “ผลประโยชน์” ให้ลงตัวกันได้อย่างไร โดยที่ไม่มีการ “ปีนเกลียว” กันเอง

โดยเฉพาะในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ทุกส่วนทุกกลไก ยิ่งเมื่อ พรรคร่วมรัฐบาล อย่าง “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” เองมองว่า 5 ปีที่ผ่านมา “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ในมือของรัฐบาลชุดเก่าทำงานแบบ “ไม่ตอบโจทย์” ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง

ถ้าเช่นนั้น แม้พรรคพลังประชารัฐ จะส่งแกนนำของพรรคไปจับจ้องกระทรวงเศรษฐกิจ เอาไว้แต่ก็ใช่ว่า รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลในกระทรวงเดียวกันจะยอมเออออ ไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่ามี “มือดี” พรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ก็มั่นใจว่ารัฐมนตรีของพรรคตัวเองไม่ด้อยไปกว่ากัน

นอกจากนี้ใครจะรู้ว่า ผู้นำรัฐบาลอย่างพล.อ.ประยุทธ์ อาจจะต้องประคองรัฐบาลใหม่ ไปพร้อมๆกับการแก้ปัญหา “เกาเหลา” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐเอง ไปจนถึงพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่ “คนใกล้ตัว” ที่ทำหน้าที่เป็น “ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย”

จากเดิมที่มือกฎหมายของรัฐบาลคือ วิษณุ เครืองาม เมื่อ5ปีก่อนหน้านี้คือผู้ที่มีบทบาทโดดเด่น แต่จากนี้ไป ชื่อชั้นของ “ดิสทัต โหตระกิตย์” ที่ได้รับความไว้วางใจให้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง “เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ทำงานอยู่ข้างตัวพล.อ.ประยุทธ์ แทน “พล.อ.วิลาศ อรุณศรี” นายทหารคนสนิท ซึ่งตำแหน่งเลขาฯนายกฯนั้นก็เปรียบเหมือน “นายกฯน้อย” จนมีข่าวว่า การมาของดิสทัต กำลังทำให้วิษณุ ไม่ค่อยพอใจนัก

อย่างไรก็ดีปัญหาบนเรือเหล็กลำนี้ อาจเพิ่งเริ่มต้น นับหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่า ตลอดหนทางที่พล.อ.ประยุทธ์ จะทำหน้าที่กัปตันเรือเหล็กจากนี้ไป อาจไม่ราบรื่น เหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้

สู้อุตส่าห์เปลี่ยนจาก “เรือแป๊ะ” ลำเล็ก มาเป็น “เรือเหล็ก”ลำใหญ่ ก็กลับต้องเจอกับ “สนิม” กันตั้งแต่ยังไม่ทันได้ล่องเรือกันเลย !

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0