ช่วงนี้ด้วยความที่เครียดและอารมณ์แปรปรวนมาก
หลังจากฝึกงานเป็นนักบำบัดที่อเมริกามาได้ซักพัก
เลยสมัครเรียนโยคะที่นี่ และช่วงหลังก็ไปเรียนถี่ขึ้น
จนกลายเป็น ตอนนี้ ‘คืนวันศุกร์’ ที่เพื่อนชวนออกไปปาร์ตี้
เราขอเลือกที่จะมาเรียนโยคะ 2 คลาสติดกัน และนอนหลับอย่างฝันดีแต่หัวค่ำ
อื้ม เรามาถึงจุดนั้นแล้วจริงๆ แหละ
.
.
.
*Restorative Yoga *
เราชอบคลาสโยคะนี้เป็นพิเศษ เขาให้คำจำกัดความไว้ว่า เป็นคลาสโยคะที่เหมือนสปา ไม่เน้นออกกำลังกายเลย ส่วนใหญ่จะเป็นท่านอน เน้นความผ่อนคลายและปรับท่วงท่าของเรา ยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่เคยล้า ครูจะเป็นคนบอกให้ทำท่าที่สบายสุดๆ แต่ละท่าก็จะต้องค้างไว้สักพัก เพราะมันต้องใช้ระยะเวลานานระดับหนึ่งเพื่อให้ร่างกายของเราปรับโหมดเข้าสู่ความผ่อนคลายนั้นได้ เช่น นอนชิดกำแพงและยกขาขึ้นมาพาดไว้บนกำแพง ค้างไว้ประมาณ 10 นาทีเพื่อที่เลือดจะได้ไหลเวียนไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างเต็มที่ ระหว่างค้างแต่ละท่าไว้ ครูก็เปิดเพลงผ่อนคลายให้เราฟัง ให้ได้ฝึกกำหนดลมหายใจไประหว่างนั้นด้วย คลาสนี้นานชั่วโมงกว่าเลย บางครั้งครูก็จะช่วยดัดตัวอย่างแผ่วเบา และนวดหัวให้เราเล็กน้อย
.
.
.
*‘นี่คือช่วงเวลา ที่เราจะได้ ฝึก เข้าถึงความผ่อนคลาย’ *
ครูพูดกับเราหลังจากจบคลาส
ฟังแล้วก็ขำในใจ
เออ ความผ่อนคลาย ที่มันควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนโหยหา และน่าจะทำได้ง่ายที่สุดผ่านสัญชาตญาณ กลับจะต้องมาเข้าคลาส เพื่อเรียนรู้ศาสตร์ของความผ่อนคลาย เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้เข้าถึงความสบายอย่างแท้จริง
‘ทุกคนเก่งมากนะ ใช้ชีวิตแบบไม่มีมือถือได้ตั้งชั่วโมงกว่า’
เออ ก็จริงของครู
เราอยู่ในยุคที่ ตื่นมาปั๊ป ต้องจับมือถือ เช็คไลน์ ไถอินสตาแกรมไปเรื่อยๆ สักหน่อย รู้ตัวอีกทีก็ครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว รีบอาบน้ำแทบไม่ทัน ไม่มีเวลากินข้าว เสี่ยงไปทำงานสาย
หรือไม่ว่าจะเป็นการหยุดพักระหว่างวัน ไม่กล้านั่งอยู่เฉยๆ แบบไม่มีมือถือ รู้สึกทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเด๋อ แล้วยิ่งชีวิตคนเมืองสมัยนี้ ทุกคนติดต่อส่งงานกันได้รวดเร็ว มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ทั้งหลาย ก็ถูกบังคับให้ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้โดยปริยาย
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว จนเราก็ไหลไปตามความเร่งรีบของจังหวะชีวิต
ครั้นจะหยุดตัวเองสักนิดเพื่อหายใจเข้าลึกๆ
ในท่ามกลางทุกคนที่กดปุ่ม fast forward อยู่
เราก็จะเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้ว
เมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวเองรายล้อมไปด้วยความวุ่นวาย
เมื่อนั้น ร่างกายและจิตใจถึงจะรู้สึก ‘คุ้นชิน’
กลายเป็นเราต้องมานั่งปรับตัวให้เข้ากับความผ่อนคลายนี้ใหม่
เหมือนมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
.
.
.
ย้อนกลับไปตอนเพิ่งเข้ามาเรียนจิตวิทยาที่นี่ปีแรก
ครูจะย้ำมากเรื่อง ‘self-care’ ว่ายังไงก็ตาม เราต้องแบ่งเวลาระหว่างวัน เพื่อดูแลตัวเอง ยิ่งสายงานของเราที่ทำงานโดยตรงกับอารมณ์ของคนด้วยแล้ว จิตใจเราต้องแข็งแรงมากพอที่จะรองรับความหวั่นไหวสั่นสะเทือนของคนไข้ทั้งหลายได้
แน่ละ ถ้าตะเกียงที่มันแห้ง มันจะมีแรงจุดไฟต่อให้ตะเกียงอื่นได้ยังไง
คนเรา ถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเอง แล้วเราจะเอาพลังจากไหนไปดูแลคนอื่น
ครูยังย้ำอีกว่า
‘self-care’ ที่ทุกคนควรมี ควรเป็นสิ่งที่ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คมาข้องเกี่ยว
เพราะหากเมื่อไหร่ที่เราเลือกเปิดประตูสู่โซเชียลมีเดียแล้วนั้น
จากการคิดว่าจะได้ดูอะไรที่ผ่อนคลาย
กลายเป็นต้องนั่งเลื่อนข้อมูลดูไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จบไม่สิ้น
จิตเราแทนที่จะได้หยุดพักชโลมใจ
กลับต้องกระหืดกระหอบแบกรับข้อมูลที่บางสิ่งเราก็ไม่ได้โหยหา
เข้ามาใส่ความคิดของเราให้หมกมุ่นเพิ่ม
และส่วนมากจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
.
.
.
เพราะเราอยากเป็นคนเก่ง คนฉลาด
เราอยากมีความรู้ให้กว้างที่สุด เพื่อที่เราจะได้อยู่เหนือ
เมื่อทักษะทางสมองเราแน่น
เมื่อนั้นเราถึงจะสบายใจ
แต่บางทีก็ลืมไปว่า
ทักษะทางจิตใจและอารมณ์
มันก็ต้องมาควบคู่จูงมือเดินไปด้วยกัน
หรือจริงๆ แล้ว
อารมณ์และจิตใจ คือสิ่งที่ควรฝึกและรู้ซึ้งมากกว่ากันแน่นะ?
.
.
.
.
บางที ความเก่งของคน
อาจไม่ได้อยู่ที่ใคร ‘ทำ’ ได้เยอะกว่า
แต่กลับกลายเป็นใคร ‘ปล่อย’ ได้มากกว่า
ต่างหาก.
อ่านบทความจากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคาร