เบอร์ลิน, 27 ม.ค. (ซินหัว) -- เมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.) สื่อท้องถิ่นเยอรมนีรายงานว่าทางการเยอรมนีพบเหตุฝ่าฝืนข้อห้ามขับขี่ยานพาหนะเครื่องยนต์ดีเซลในเมืองต่างๆ มากกว่า 15,000 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมืองชตุทท์การ์ท (Stuttgart) และดาร์มชตัดท์ (Darmstadt)
สำนักข่าวดีพีเอ (dpa) ของเยอรมนี รายงานว่าค่าปรับจากการฝ่าฝืนทั้งหมดอยู่ที่ราว 1.6 ล้านยูโร (ราว 54 ล้านบาท) แม้จะยังไม่ชัดเจนว่ามีใบแจ้งปรับกี่ใบที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในท้ายที่สุด
ตั้งแต่ปี 2018 เยอรมนีสั่งห้ามรถยนต์ดีเซลรุ่นเก่าวิ่งในเมืองต่างๆ ที่มีระดับฝุ่นละอองสูง เพื่อลดปัญหามลภาวะจากก๊าซไนโตรเจนออกไซด์
ชตุทท์การ์ท ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเดมเลอร์ (Daimler) และปอร์เช (Porche) บริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ เป็นเมืองเดียวในเยอรมนีที่สั่งห้ามนำยานพาหนะดีเซลรุ่นเก่าเข้ามาวิ่งทั่วทั้งเมือง ส่วนเมืองอื่นๆ รวมถึงกรุงเบอร์ลิน กำหนดห้ามวิ่งเฉพาะถนนบางเส้นเท่านั้น
นอกจากนั้นในเมืองชตุตการ์ตและดาร์มชตัดท์ ยานพาหนะต่างๆ จะถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืนข้อห้ามเครื่องยนต์ดีเซลโดยอัตโนมัติ หากมีการใช้ยานพาหนะเหล่านั้นโดยฝ่าฝืนกฎจราจร อาทิ การใช้ความเร็วหรือการจอดในที่ห้ามจอด
หากฝ่าฝืนข้อห้ามในเมืองชตุทท์การ์ทและดาร์มชตัดท์จะถูกปรับเงิน 108.50 ยูโร (ราว 3,600 บาท) ขณะที่ในกรุงเบอร์ลิน ค่าปรับจะต่ำนั้นกว่ามาก แบ่งเป็นรถยนต์ 20 ยูโร (ราว 670 บาท) รถโดยสาร 25 ยูโร (ราว 840 บาท) และรถบรรทุก 75 ยูโร (ราว 2,500 บาท) โดยชตุทท์การ์ทยังขึ้นค่าจอดรถในใจกลางเมือง ขยายพื้นที่ใช้ความเร็วต่ำ และติดตั้งเครื่องกรองอากาศในถนนที่จราจรคับคั่ง เพื่อเสริมการลดมลพิษในเมือง
