เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วที่สุดในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 จากความเร็วหลายร้อย kbps กำลังก้าวมาสู่หลายร้อย Mbps และจะเข้าสู่หลายสิบ Gbps ภายในปี 2030 ซึ่งทำให้ในปัจจุบันสื่อต่างๆ ได้เปลี่ยนรูปแบบจากการเน้นที่ข้อความและรูปภาพกลายมาเป็นวิดีโอมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอจาก Youtube, Snapchat หรือ Facebook ก็ตาม แต่ต่อไปนับจากนี้ วิดีโอประเภท Interactive video, เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) จะเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
การเชื่อมโยงของ social media และอุปกรณ์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตที่หนาแน่นอย่างยิ่งยวด (Hyperconnected) กำลังทำให้มวลมนุษยชาติ สามารถร่วมมือกันแบบ realtime จนเราสามารถเรียกหาผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ระดับโลกมารวมตัวกันแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว จนจะทำให้นวัตกรรมต่างๆ เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งนักอนาคตศาสตร์ได้คาดการณ์ว่า สถาบันสื่อมวลชนจะมีอำนาจเปลี่ยนไปจากการที่ประชาชนทั่วไปสามารถรายงานข่าวได้ realtime ณ สถานที่เกิดเหตุได้เร็วกว่าสื่อหลัก (เช่น social media ของ Thai Navy Seal รายงานสถานการณ์การกู้ชีวิตที่ถ้ำหลวงโดยตรงสู่ประชาชน โดยไม่ผ่านสื่อหลัก โดยสื่อหลักรอติดตามพร้อมกับประชาชน) และเกิดปรากฎการณ์ผู้บริโภคกลายเป็นสื่อมวลชน (citizen journalism) กำลังกดดันสื่อหลักในรูปแบบต่างๆ เริ่มปรากฏชัดในปีนี้ (2018) ทั่วโลก ตามการคาดการณ์ของนักอนาคตศาสตร์ (Futurist)
ภายในปี 2020 Cisco คาดการณ์ว่า 82 % ของปริมาณการรับส่งข้อมูล (Internet traffic) ในการใช้อินเทอร์เน็ตจะเป็นการใช้ดูวิดีโอ และปริมาณการรับส่งข้อมูลในการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วทั้งโลกจะเพิ่มขึ้น 22% ต่อปี ทำให้ปริมาณการรับส่งข้อมูลผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2005 ถึง 95 เท่า ซึ่ง Mark Zuckerberg ได้ตอกย้ำการคาดการณ์ดังกล่าวโดยขณะนี้ Facebook ได้ให้ความสำคัญในเรื่องวิดีโอมาเป็นอันดับแรก โดย Mark Zuckerberg กล่าวว่า “วิดีโอมีแนวโน้มการเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการเกิดโทรศัพท์มือถือ” ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ Facebook จึงต้องการการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงสร้างพื้นฐาน และฮาร์ดแวร์ที่สามารถจัดการกับการส่งวิดีโอได้ ทำให้ในปัจจุบันอุตสาหกรรมสื่อและการบันเทิงเริ่มมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกำลังปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้
Facebook จะถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในทวีปเอเชีย !!!
เมื่อต้นปีนี้ Facebook ได้เปิดเผยเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะเริ่มก้าวเข้าสู่วงการกีฬามากขึ้น เมื่อบริษัทได้ว่าจ้าง นาย Peter Hutton ซึ่งเป็นซีอีโอของ Eurosport ให้เป็นผู้นำการเจรจาเรื่องการถ่ายทอดสดกีฬาทั่วโลก โดยล่าสุดบริษัทได้ทำข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์มูลค่า 200 ล้านปอนด์กับพรีเมียร์ลีกในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ Facebook ก้าวสู่วงการกีฬาอย่างเต็มตัว
โดยตั้งแต่ฤดูกาลปี 2019 – 2020 Facebook จะมีสิทธิในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งเป็นประเทศที่มีแฟนฟุตบอลอังกฤษเป็นจำนวนมาก โดย Times รายงานว่า Facebook ได้จ่ายเงินเป็นจำนวน 200 ล้านปอนด์ในการประมูลเพื่อให้ได้สิทธิถ่ายทอดสดทั้งหมด 380 เกมของแต่ละฤดูกาล โดยชนะทั้ง Bein Sports และ Fox Sports Asia
ก่อนหน้านี้ Facebook เคยถ่ายทอดสดการแข่งขัน MLS และ La Liga แต่ข้อตกลงฉบับใหม่นี้ จะกลายเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกีฬาชั้นนำระดับโลก และจากนี้เราจะเห็นแนวโน้มที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างๆ เข้าสู่วงการกีฬาอย่างชัดเจน โดย Amazon Prime มีข้อตกลงที่คล้ายกับพรีเมียร์ลีกเช่นกัน ในขณะที่ Richard Scudamore ผู้บริหารระดับสูงของลีกได้กล่าวว่าบริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรกับบริษัทอย่างเช่น YouTube และ Netflix จึงเป็นที่ชัดเจนว่าผู้ถ่ายทอดกีฬาแบบดั้งเดิมต้องเจอกับรูปแบบการแข่งขันใหม่ในตลาด
จะเห็นได้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากต่อสื่อมวลชนและบริษัทสื่อบันเทิงแบบดั้งเดิม จากผลกระทบที่เกิดจากความนิยมที่ลดลงของบนสื่อดั้งเดิม โดยอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดกำลังทำให้บริษัทสื่อบันเทิงแบบดั้งเดิมกำลังจะตาย ซึ่งก็เป็นผลมาจากหลายสาเหตุ ทั้งการแข่งขันกันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Internet) มากขึ้น และการใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระดับหลายพันล้านคน จนทำให้ประชากรโลกจำนวนมากมายกลายเป็นผู้เสพและผู้ผลิตสื่อในเวลาเดียวกัน (Prosumer) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ Media disruption อย่างชัดเจน
บทความอ้างอิง
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Citizen_journalism
https://www.engadget.com/2018/07/05/facebook-broadcast-live-premier-league-games-asia/
https://www.cnbc.com/2018/06/15/apple-announces-multiyear-content-partnership-with-oprah-winfrey.html
https://www.cnbc.com/2018/06/13/netflix-why-att-bought-time-warner-and-comcast-and-disney-want-fox.html