โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เพิ่งรู้นะเนี่ย! 11 สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีความหมายและที่มาแบบนี้

MThai.com

เผยแพร่ 13 ธ.ค. 2562 เวลา 09.00 น.
เพิ่งรู้นะเนี่ย! 11 สัญลักษณ์วันคริสต์มาสมีความหมายและที่มาแบบนี้
พูดถึงวันคริสต์มาสเราจะนึกถึงอะไรคะ อย่างแรกเลย ก็ต้องเป็น ลุงซานตาสวมชุดแดงหิ้วถุงของขวัญ หรือไม่ก็ต้นคริสต์มาสใหญ่ๆ แล้วเพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า

พูดถึงวันคริสต์มาสเราจะนึกถึงอะไรคะ อย่างแรกเลย ก็ต้องเป็น ลุงซานตาสวมชุดแดงหิ้วถุงของขวัญ หรือไม่ก็ต้นคริสต์มาสใหญ่ๆ แล้วเพื่อนๆ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมต้นคริสต์มาส ต้องใช้ต้นสน และของตกแต่งบนต้นวันคริสต์มาส อย่างดาว ระฆัง ถุงเท้า หรือลูกกลมๆ เหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร วันนี้ทีนเอ็มไทยจะพาไปหาคำตอบกัน

11 สัญลักษณ์วันคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาส ที่นำเอาต้นสนมาประดับประดา ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

The Christmas Wreath

การแขวนพวงมาลัยไว้ที่หน้าประตูบ้าน

เป็นประเพณีที่นิยมกระทำกันในช่วงเทศกาลที่มีความสำคัญ รวมถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วย พวงมาลัยคริสต์มาสนั้นถูกร้อยด้วยโบสีแดงซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรื่นเริง ในขณะที่ใบไม้สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เป็นนิรันดร์ซึ่งจะแสดงถึงความมีศรัทธาต่อวันประสูติของพระเยซู รูปร่างวงกลมของพวงมาลัยเป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงมงกุฏหนามที่อยู่บนศีรษะของพระเยซูซึ่งในช่วงเวลานั้นทหารชาวโรมันได้หัวเราะเยาะและล้อเลียนพระเยซูว่าเป็นเสมือนกษัตริย์ของชาวยิว อีกเหตุผลหนึ่งที่มีการใช้พวงมาลัยคริสต์มาสเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองต่อเทพเจ้า BACCHUS ซึ่งผู้ที่ศรัทธานั้นเชื่อว่าพระองค์นั้นได้สวมมงกุฏทรงกลมที่ทำมาจากต้นไอวี่

จุดประสงค์อีกอย่างของพวงมาลัยคริสต์มาสในส่วนที่เป็นสีเขียวนั้น ได้ถูกเชื่อว่าจะสามารถช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่วร้ายได้ ซึ่งช่วงเวลานี้มักถูกคิดว่าเป็นช่วงที่พลังความชั่วร้ายมีมากที่สุดในรอบปี ในช่วงยุคกลางผลสีแดงของต้นฮอลลี่ได้ถูกเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่คอยขับไล่พวกแม่มดให้ออกไปจากบ้าน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมต้นฮอลลี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล และนำความโชคดีมาให้กับผู้ที่จัดทำพวงมาลัย

Holly (ต้นฮอลลี่)

สีเขียวชอุ่มของต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ ซึ่งต้นฮอลลี่นี้เป็นต้นที่มีลักษณะเด่นเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ผลสีแดงสดของต้นฮอลลี่เป็นสัญลักษณ์ของหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน สีเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้าซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่มีต่อความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ใบไม้ที่มีหนามนั้นจะเป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

ระฆังวันคริสต์มาส, กระดิ่งวันคริสต์มาส

เสียงระฆังที่ถูกดังขึ้นในตอนเช้าของวันคริสต์มาสนั้นถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการกำเนิดของพระเยซู ตามตำนานได้เล่าไว้ว่าเสียงระฆังได้ดังอยู่นานนับชั่วโมงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสอีฟ การตีระฆังดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดพลังความมืดก่อนที่ผู้ช่วยในการไถ่บาปจะถือกำเนิดขึ้น และในเวลาเที่ยงคืน เสียงกึกก้องของระฆังได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงแห่งความสุข

เสียงของระฆังนั้นยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะตีระฆังเพื่อประกาศให้รู้ถึงการจากไปของผู้ที่ล่วงลับ ยังถือเป็นการบอกถึงการตายของปิศาจ (devil) ที่ถูกพาขึ้นมาโดยการกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า ระฆังของโบสถ์ยังรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ ‘the Old Lad’s Passing bell’ ซึ่ง Old Lad คือคำสุภาพที่ใช้เรียกซาตาน เมื่อเสียงระฆังดังนั้นยังถือเป็นการขับไล่ภูตผีวิญญาณร้ายที่จะหนีให้ห่างจากเสียงทุกเสียงอีกด้วย

ระฆังคริสต์มาสนั้นมีอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน โดยเราอาจจะได้ยินเสียงในตอนเช้าของวันคริสต์มาส นอกจากนี้ยังถูกนำไปประดับตกแต่งในการ์ดวันคริสต์มาสและบนต้นคริสต์มาสด้วย เหล่าผู้เฉลิมฉลองจะตีระฆังเหล่านี้เพื่อป่าวประกาศถึงงานรื่นเริง เหมือนกับที่ Father Christmas หรือ ซานตา คลอส ทำตอนลากรถเลื่อนเพื่อแจกของขวัญให้กับเด็กดี

ดอก Poinsettia หรือดอกไม้คริสต์มาส

ตำนานของเม็กซิกันได้บอกเล่าถึงดอก Poinsettia ซึ่งกลายเป็นดอกไม้ประจำเทศกาลคริสต์มาสไว้ว่า ได้มีเด็กสาวชาวไร่จน ๆ คนหนึ่งเกิดความวิตกกังวลถึงของขวัญที่จะนำไปมอบให้กับพระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ เพราะเธอไม่มีสิ่งของใดๆที่จะนำมาให้และเธอก็ไปด้วยตัวเปล่า ระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับนางฟ้าตนหนึ่งซึ่งบอกให้เธอเก็บเมล็ดพืช ซึ่งเธอก็ทำตาม และแล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น เมล็ดพืชเหล่านั้นได้เจริญเติบโตและเปลี่ยนไปเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งภายในโบสถ์และในบ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ดาว

สำหรับชาวคริสต์เตียนนั้น ดาวคริสต์มาสถูกสมมติว่าเป็นแบบอย่างของการแสดงออกที่ดีโดยพระเยซูคริสต์ ซึ่งถูกบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “the bright and morning star.”

ดาวในความหมายทั่วไปนั้นมีความหมายพิเศษ เหมือนกับว่าดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

เครื่องประดับและแอปเปิ้ล

ในบางแห่ง แอปเปิ้ลถูกใช้เป็นเครื่องประดับต้นไม้ จากการที่มีคนศรัทธาความเชื่อที่ว่า ลำต้นที่เกิดจากการรวมกันของต้นแอปเปิ้ลมองดูคล้ายกับต้นไม้แห่งชีวิตในแดนสวรรค์ แม้ว่าในคัมภีร์ไบเบิ้ลจะไม่ได้กล่าวไว้

ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ นั้นเชื่อว่าเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ แต่โดยส่วนใหญ่จะมีสีสันที่สดใสซึ่งมีผลต่อความรื่นเริงในบ้าน โดยเครื่องประดับเหล่านี้สามารถสะท้อนแสงไฟทำให้เกิดการสะท้อนไปมากับแสงเทียนและแสงไฟ ทำให้มีความสวยงาม

Christmas Rose

ดอกคริสต์มาสเดิมที มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษและปัจจุบันนี้ก็สามารถค้นพบดอกคริสต์มาสได้ตามเทือกเขาในทางตอนกลางของยุโรป ดอกคริสต์มาสจะบานในช่วงฤดูหนาว

จากตำนานได้เล่าความเป็นมาของดอกคริสต์มาสนี้ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ ผู้รอบรู้ 3 ท่านกับคนเลี้ยงแกะได้เดินทางมาด้วยกันเพื่อเข้าพบกับพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาได้พบหญิงเลี้ยงแกะคนหนึ่งชื่อว่า มาเดลอนซึ่งกำลังดูแลแกะของเธออยู่ เมื่อเธอได้เห็นของขวัญที่ทุกคนจะนำมาให้พระเยซู เธอก็เริ่ม น้ำตาไหลเนื่องจากเธอไม่มีสิ่งใดที่จะมอบให้พระเยซู นางฟ้าผู้ซึ่งเฝ้ามองอยู่ เห็นดังนั้นจึงเกิดความเห็นใจ และได้ร่ายมนตร์ทันใดนั้นหิมะก็ถูกกวาดออกไปและได้เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบ นั่นคือ “ดอกคริสต์มาส” นั่นเอง

Christmas Colors

สีที่เกี่ยวข้องในช่วงเทศกาลคริสต์มาสมีหลากหลาย เช่น สีแดงของผลฮอลลี่หรือซานตาคลอส, สีเขียวของต้นไม้, สีทองของเทียนและดวงดาว, สีขาวโพรนของทุ่งหิมะ

สีแดง : เป็นสีที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นมากที่สุดและเป็นสีของเดือนธันวาคม ซึ่งตามสัญลักษณ์ตามศาสนานั้น หมายถึงไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

สีเขียว : เป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติ, ความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งก็เปรียบได้ว่าคริสต์มาสนั้นเป็นเสมือนเทศกาลแห่งความหวังด้วย

สีขาว : คือสัญลักษณ์ทางศาสนา ซึ่งได้แก่ แสงสว่าง, ความบริสุทธิ์, ความสุขและความรุ่งเรือง สีขาวคือสีที่มักจะเห็นบนเสื้อคลุมของนางฟ้าคริสต์มาส, เคราของซานตาคลอส, ริมชายเสื้อสีขาวของชุดซานตาคลอส, หิมะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและสะเก็ดของหิมะ

สีทอง : เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว นอกจากนี้ยังเป็นสีของดาวคริสต์มาส,เครื่องประดับ,เทียน,หลอดไฟ

ครั้งหนึ่งในอดีตชาวคริสเตียนได้มีความคิดที่ว่าพระอาทิตย์นั้นเปรียบเสมือนเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่เพราะพระอาทิตย์นั้นส่องแสงสว่างมายังพื้นโลก ศิลปินหลายท่านได้วาดภาพ พระเยซูอยู่ในศูนย์กลางของแสงสว่าง หรือมีแสงสว่างอยู่รอบ ๆ ศีรษะของท่าน

ถุงเท้า

จากนิทานที่เล่ากันว่ามีนักบุญชื่อนิโคลัสได้พบกับพี่น้องสามสาว ซึ่งพวกเธอได้พักอยู่นอกเมืองและมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างยากจน นักบุญนิโคลัสเกิดความคิดที่จะช่วยให้พวกเขาสามพี่น้องหลุดพ้นจากความเป็นไปได้ที่ 3 สาวพี่น้องจะต้องไปเป็นโสเภณี คืนนั้นนักบุญนิโคลาสก็ได้ปล่อยทองสามก้อนลงไปในปล่องไฟของบ้านของพวกเธอ ซึ่งเหรียญนั้นไม่ได้ตกลงไปบนพื้นเตาอย่างที่เขาคิดไว้แต่กลับตกลงไปในถุงเท้าของพวกเธอที่แขวนไว้ข้างหน้าเตาผิงเพื่อที่จะให้ถุงเท้านั้นแห้ง ในตอนเช้าของวันต่อมาพวกเธอทั้งสามคนได้พบเหรียญอยู่ในถุงเท้าจึงเกิดความปิติยินดีมาก ต่อมาก็มีผู้คนมากมายแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ โดยหวังว่าจะได้รับของขวัญในลักษณะเดียวกันบ้าง

ปล่องไฟ

เหตุผลที่ซานตาคลอสที่ลงมาตามปล่องไฟนั้นต้องย้อนกลับไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่ผู้คนในสมัยนั้นยังอาศัยอยู่ในใต้ดิน ซึ่งแต่ละบ้านจะมีรูควันเป็นทางเข้าออกจากบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน รูควันนั้นก็ได้ถูกแทนที่ด้วยปล่องไฟ จึงทำให้ซานตาคลอสต้องเข้าออกทางปล่องไฟด้วย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0