เพื่อนของ "เจ๊ต้อย" หมอนวดสาวไทยที่ถูกฆ่าตัดคอเสียชีวิตในโปรตุเกส เผยปมสังหารมาจากให้เงิน "แสงงาม" เพื่อนเจ๊ต้อย 1 หมื่นยูโร ไปลงทุนทำร้านนวด แต่กลับใช้ส่วนตัว เมื่อทวงเงินคืนจึงลงมือฆ่าพร้อมสามีชาวปากีสถาน ขณะที่ตำรวจไทยควบคุมตัวสามีได้แล้ว แต่ส่งตัวกลับไม่ได้ เพราะโปรตุเกสไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. เฟซบุ๊กเพจ "ชมรมหมอนวดดี มีจรรยาบรรณ ไม่ทำแอบแฝง" เปิดเผยกรณีที่ น.ส.ณัชยา เจนจบ หรือเจ๊ต้อย หมอนวดสาวชาวไทย ถูกฆ่าหั่นคอและพบศพบริเวณย่านชายหาดเลซา เด ปัลเมรา (Leça da Palmeira) เมืองมาโตซินโญส์ เขตปอร์โต ทางตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้เปิดเผยบทสนทนากับเพื่อนชาวโปรตุเกสที่รู้จักกับผู้เสียชีวิตและครอบครัว ระบุว่า ได้ติดต่อกับครอบครัวของเจ๊ต้อย พบว่าบิดาเสียชีวิตเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และเธอก็มีลูกสาว ทั้งนี้ น.ส.แสงงาม สวายประโคน อายุ 52 ปี และสามีชาวปากีสถานซึ่งแต่งงานกันที่ประเทศไทย เป็นคนลงมือฆ่า น.ส.ณัชยา เพราะเรื่องเงิน 360,000 บาท ซึ่งขณะนี้ น.ส.แสงงามถูกควบคุมตัวในเรือนจำ แต่สามีชาวปากีสถานหลบหนีมายังประเทศไทย แต่ทางการไทยไม่ส่งตัวสามีรายนี้กลับมาดำเนินคดี
ส่วนที่ น.ส.แสงงาม กล่าวกับตำรวจว่าเธอลงมือฆ่า น.ส.ณัชยา เพียงผู้เดียวนั้น เพื่อนชาวโปรตุเกส กล่าวว่า เธอให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เพราะตำรวจพบดีเอ็นเอของ น.ส.แสงงาม ในกระเป๋า และเลือดของ น.ส.ณัชยา อยู่ภายในร้านนวดของ น.ส.แสงงาม ซึ่ง น.ส.ณัชยา พร้อมด้วย น.ส.แสงงามและสามีอาศัยอยู่ในร้านนวดดังกล่าว ขณะที่ น.ส.แสงงาม ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า เธอไม่เห็น น.ส.ณัชยา มาเป็นสัปดาห์ แต่ดีเอ็นเอที่พบแตกต่างจากคำให้การ ส่วนสาเหตุที่ลงมือฆ่ามาจากเรื่องเงิน เพราะ น.ส.ณัชยา ให้เงิน น.ส.แสงงาม จำนวน 1 หมื่นยูโร เพื่อเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ แต่ น.ส.แสงงามกลับนำเงินไปใช้ส่วนตัว ไม่ได้นำเงินไปลงทุนตามความประสงค์ เมื่อ น.ส.ณัชยา ต้องการเงินคืนจึงได้ลงมือฆ่าดังกล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ศพของ น.ส.ณัชยา พบเฉพาะส่วนหัวเท่านั้น ส่วนลำตัว น.ส.สงามยังไม่ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่าอยู่ที่ไหน อ้างว่าตนไม่รู้ ขณะที่สามีของ น.ส.สงาม ชาวปากีสถาน ถูกตำรวจไทยควบคุมตัวไว้ได้แล้ว แต่ไม่สามารถนำตัวกลับมาดำเนินคดีได้ทันที เพราะไทยกับโปรตุเกสไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ต้องรอให้ทางการโปรตุเกสทำเรื่องส่งกลับ ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน และต้องรอตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน โดยปัจจุบัน สามีของ น.ส.สงาม แต่งงานกันที่ประเทศไทย จึงได้สัญชาติไทย และ น.ส.สงามได้เปลี่ยนศาสนา เป็นชาวมุสลิมตามสามี
