ลำปาง – ผู้การตำรวจลำปาง เชิญผู้ปกครอง-ครู รวมทั้งเด็กที่ถูกรุมตบริมถนนแจ้ห่ม-เมืองปาน ให้ข้อมูล พร้อมซักถามเบื้องต้นด้วยตนเอง เตรียมนำกฎหมายเข้าดำเนินการกับผู้ก่อเหตุ
ความคืบหน้ากรณีกลุ่มหญิงสาวกว่า 10 คน รุมตบตีหญิงสาว 2 คน อยู่ริมถนนแจ้ห่ม-เมืองปาน จ.ลำปาง อย่างดุเดือดชนิดที่เรียกว่ารุมกัน 10:2 บางคนใช้เท้ากระทืบ บางคนก็นั่งคร่อมตบตีหญิงสาวที่นอนกับพื้น ซึ่งมีคนนำคลิปโพสต์เผยแพร่จนมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางนั้น
วันนี้(18 พ.ย.) พล.ต.ต.อนุชา อ่วมเจริญ ผบก.ภ.จว.ลำปาง ได้เดินทางมาซักถามเด็กนักเรียนผู้เสียหายพร้อมสอบปากคำผู้ปกครองของเด็กทั้งสองคน ด้วยตนเองที่ สภ.แจ้ซ้อน ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
พล.ต.ต.อนุชา กล่าวว่าวันนี้ได้เชิญเด็กผู้เสียหายจำนวนสองคนและผู้ปกครองสองคน พร้อมครูมาให้ข้อมูล เบื้องต้นทราบว่าเหตุทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องส่วนตัว ครั้งแรกได้มีการนัดไปเคลียร์กันในอำเภอแจ้ห่มแต่ทั้งสองฝ่ายไม่ไปทำให้นางสาวสายเพ็ญ ซึ่งมีอายุมากที่สุด เห็นว่าเด็กไม่ไปตามนัดจึงเกิดความโมโหและได้มีการนัดทั้งสองฝ่ายอีกครั้งที่วัดพระธาตุดอยซาง ต.แจ้ซ้อน ซึ่งครั้งนี้ได้พาเพื่อนมาด้วยกันหลายคน แต่เมื่อมาถึงเมื่อทั้งสองฝ่ายพบกันได้ไม่นานก็ลงมือทำร้ายกัน
ซึ่งในวันนี้เป็นเพียงการนำเด็กผู้เสียหายสองคนมาซักถามและเชิญผู้ปกครองมาสอบปากคำ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย เนื่องจากการดำเนินคดีเกี่ยวกับเด็กจะต้องมีเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ทั้งนักจิตวิทยา อัยการ เข้ามาร่วมสอบปากคำด้วย โดยขณะนี้ทางเจ้าที่ตำรวจได้มีการรับคำร้องทุกข์ไว้แล้ว
ในส่วนของผู้ปกครอง ตอนแรกยังไม่ต้องการดำเนินคดีเนื่องจากต้องการให้เด็กอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จึงไม่ได้มีการมาแจ้งความหลังจากที่เกิดเหตุแล้ว แต่เมื่อคลิปดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ตนจึงต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองว่าจำเป็นต้องดำเนินการ มิเช่นนั้นสังคมจะมองว่าบิดามารดาปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลลูก หรือไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ และเจ้าพนักงานตำรวจเอง ไม่ทำในสิ่งที่ควรจะต้องทำ
ดังนั้นการดำเนินงานจำเป็นต้องทำคู่ขนานกันไป แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง และตัวเด็กเองด้วย จึงพยายามให้เด็กนักเรียนพูดตามความเป็นจริง ส่วนที่เป็นข่าวว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วเด็กต้องย้ายโรงเรียนหนีนั้นเบื้องต้นทราบว่าเด็กมีความประสงค์จะย้ายโรงเรียนก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะสะดวกในการเดินทางไปโรงเรียน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนมาตรการในการป้องกันการก่อเหตุ ทะเลาะวิวาทของนักเรียนในโรงเรียนนั้น ทางตำรวจมีโครงการตำรวจประจำโรงเรียนอยู่แล้ว ซึ่งจะทำหน้าที่ประสานฝ่ายปกครอง ผู้บริหารของโรงเรียน หากมีข่าวเกี่ยวกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด การทะเลาะวิวาท หรือปัญหาต่างๆ ตำรวจจะเข้าไปตักเตือน ซึ่งก็สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่หากมีการแจ้งความร้องทุกข์ ก็จะนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ขณะที่ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองคนได้กล่าวว่าตนเองก็เพิ่งเห็นคลิปเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมานี้เองและรู้สึกสะเทือนใจ และรับไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่เคยทราบเรื่องมาก่อนเนื่องจากลูกสาวไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง และลูกสาวได้บอกว่าเรื่องเกิดขึ้นมานานแล้วจึงไม่อยากให้มีเรื่องราวอะไรอีก แต่เมื่อมีคลิปปรากฏขึ้นมาอีกและทางเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายตนจึงต้องการให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการไปตามขั้นตอน
