ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> “พุทธะอิสระ” ต้อนรับ“สุเทพ” ร่วมทำบุญ-แจกใบสมัครพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> “พุทธะอิสระ” แจง บวชอีกเพราะไม่อยากสึกแต่แรก
เมื่อวันที่ (18 ต.ค. 62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำยืนยันว่าตัวเองยังมีสถานะเป็นพระสงฆ์ทุกประการของนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ "อดีตพระพุทธะอิสระ" อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยอธิบายว่า แม้จะไม่ได้นุ่งห่มผ้าเหลืองตั้งแต่ที่ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2561 แต่ก็เชื่อว่า ตัวเองยังมีเป็นพระภิกษุ โดยอดีตพระพุทธะอิสระ อธิบายว่า ภิกษุจะพ้นจากความเป็นพระได้ด้วยสามเหตุ คือ 1. มรณภาพ 2.อาบัติปราชิกร้ายแรง และ 3.กล่าวคำลาสิกขา ในเมื่อตนเองไม่ได้ทำทั้ง3ข้อนี้ จึงไม่ถือว่าสึกจากการเป็นพระ เพียงเปลี่ยนใส่ผ้าขาวชั่วคราวเพราะไม่อยากให้ผ้าเหลืองไปติดคุกเท่านั้น แต่ยังคงถือศีล 227 ข้อ และคงวัตรปฏิบัติของสงฆ์ไว้ทุกประการ
โดยสาเหตุที่จะกลับไปนุ่งห่มผ้าเหลืองอีกครั้ง มาจากการร้องขอของแม่และชาวบ้าน โดยเฉพาะแม่ที่มีอายุมากแล้ว ซึ่งหากคณะสงฆ์มีมติพิจารณาอนุมัติในการประชุมวันที่ 27 ต.ค.นี้ ก็จะกลับมานุ่งหุ่มผ้าเหลืองในวันที่ 5 ธ.ค. หากไม่อนุมัติก็คงต้องรอคดีสิ้นสุดลงก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปีหรือปลายปีหน้า ซึ่งตนเองมีความตั้งใจที่จะกลับไปห่มผ้าเหลืองแน่นอน โดยยอมรับว่ากรณีนี้ก็เหมือนกับกรณีพระพิมลธรรมที่หลังจากพ้นโทษแล้วได้กลับมานุ่งห่มผ้าเหลืองใหม่โดยถือว่าไม่ได้มีการกล่าวคำลาสิกขาตั้งแต่แรก
เมื่อถามว่า หลังจะนี้จะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ อดีตพระพุทธะอิสระ ตอบว่า หากบ้านเมือง ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เสียหายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะออกมาชุมนุมอีก เพียงแต่มองว่าสามารถแสดงความคิดเห็นได้เพราะเป็นสิทธิ์ที่ชาวไทยทุกคนพึงมี
ส่วนกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ออกมาบรรยายเรื่องความมั่นคงจนเป็นกระแส อดีตพระพุทธะอิสระ แสดงความคิดเห็นว่า พล.อ.อภิรัชต์ ทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายความมั่นคง โดยพยายามอธิบายให้คนรู้ว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่การทำหน้าที่ดังกล่าวอาจมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ซึ่งต้องมีการสื่อสารกับอีกฝ่ายให้เข้าใจ
ส่วนบทบาทของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ ที่มีแนวทางแตกต่างจากแนวคิดของผู้บัญชาการทหารบก // พระพุทธะอิสระ แนะนำว่าให้พล.อ.อภิรัชต์และพรรคอนาคตใหม่ พูดคุยกัน เพื่อลดช่องว่างของความคิดต่าง
อดีตพระพุทธะอิสระ แสดงความคิดว่า ไม่ว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหนก็เป็นคนไทยด้วยกัน สิ่งสำคัญคือการหันหน้าคุยกันให้เข้าใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความปรองดองที่แท้จริง