วันที่ 19 ม.ค. 62 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบตัวพระเด็จ คงกระพันธุ์ พระวัดบ้านพร้าว หลังจากหายตัวไปอย่างปริศนาตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค. หลังขึ้นไปปักธงบนเทือกเขาผาขี่ควาย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก โดยยังคงปลอดภัยดี แต่ซูบผอมมาก
หลวงตาเด็จบอกว่า ตนเองมากับพระอำนาจเพื่อทำพิธีปักธงชัยบนผาขี่ควาย แต่ตนเองเดินไม่ไหวจึงเดินกลับตามทาง ซึ่งในตอนนั้นคิดว่าเป็นทางกลับหมู่บ้าน แต่ก็กลับกลายเป็นหลงป่าหาทางกลับไม่ได้ จนกระทั่งพบชาย 2 คน หน้าตาเหมือนกัน มีผมยาวประบ่า สวมใส่เสื้อผ้าชุดหนังยางสีดำ บอกเส้นทางให้ไปในถ้ำมีข้าวสารอยู่ โดยคอยยืนบอกทางอยู่ห่าง ๆ และเดินตามหลังหลวงตาเด็จแล้วชี้ทางไปถ้ำให้ จนกระทั่งพบถ้ำ ทั้งสองคนก็หายตัวไป ตนเองจึงเข้าไปพักอาศัยอยู่กินที่นั่น ระหว่างรอความช่วยเหลือ
ที่ผ่านมาใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำด้วยการฉันหยวกกล้วย หัวปลี และยอดหวาย ยอมรับว่าขณะนั้นอยากกลับวัด อยากกลับบ้าน แต่ก็ไม่สามารถกลับได้ เพราะหาทางกลับไม่เจอ มองไม่เห็นหมู่บ้าน จึงพักอาศัยอยู่ในถ้ำไปก่อน เพราะในถ้ำมีข้าวของเครื่องใช้สำหรับหุงอาหาร
โดยกลุ่มชาวบ้านที่พบพระเด็จ ประกอบด้วย นายเยี่ยม มีสี, นายอำพร สุทธิลอ และนายไมคู แสงฤทธิ์ ซึ่งนายอำพร กล่าวว่า มีชาวบ้านพูดต่อกันมาว่ามีคนหมกกล้วยป่ากินที่บริเวณถ้ำ เมื่อคืนที่ผ่านมาเวลา 21.00 น. พวกตนจึงชวนกันเดินไปดู ซึ่งก็ไปพบในเวลา 01.30 น. ที่บริเวณปากถ้ำ ในพื้นที่เขาน้ำไทรตอนบน
ตนเป็นคนแรกที่เห็น โดยเดินไปบริเวณถ้ำพบว่ามีมุ้งอยู่ จึงส่องไฟเข้าไปภาวนาให้พบผ้าเหลือง ซึ่งก็มีผ้าเหลืองอยู่ในมุ้งจริง เมื่ออีกฝ่ายยกมุ้งขึ้น ตนก็ร้องด้วยความดีใจที่เป็นพระเด็จ ตอนนั้นพระเด็จถึงกับร้องไห้ โดยเจ้าตัวก็ไม่ทราบว่าตัวเองหลงไปได้อย่างไร เนื่องจากเป็นจุดที่ห่างจากผาขี่ควายถึง 20 กิโลเมตร พระเด็จระบุว่าเดินไปเรื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น เวลาฝนตกก็หลบใต้ต้นไม้
โดยกินหัวปลี กินหยวกกล้วย ไม่มีข้าวกิน ส่วนมุ้งที่พบเป็นของชาวบ้านที่เอาไปทิ้งไว้ เวลาขึ้นไปเลี้ยงวัว ซึ่งเจ้าตัวดีใจมากที่พบพวกตนโดยยังบอกว่า ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร โดยจุดดังกล่าวพวกตนไม่เคยไปเดินหา เพราะไกลมาก ไม่คิดว่าพระเด็จจะเดินไปถึงจุดดังกล่าว ความรู้สึกของตนก็ดีใจมาก ไม่คิดว่าจะมีอะไรทำให้ดีใจขนาดนี้ในชีวิต เพราะส่วนตัวก็ลุ้นตาม
ด้าน น.ส.ช่อเพชร นวลวัน ลูกสาวพระเด็จ กล่าวด้วยน้ำตาคลอว่า นาทีที่ได้พบพระพ่อตนรู้สึกดีใจมาก และพระพ่อก็ผอมลงมาก เพราะไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากหยวกกล้วย กับหัวปลี
ส่วนที่ตอนแรกเชื่อว่าพ่อถูกฆาตกรรม และสงสัยอดีตพระอำนาจนั้น เป็นเพราะตัวเองเสียใจที่พระพ่อหายตัวไป และมีชาวบ้านพูดไปต่าง ๆ นานา ทำให้ตนคิดมาก ซึ่งตนก็ต้องขอโทษอดีตพระอำนาจที่เข้าใจผิด ทำให้เจ้าตัวต้องเดือดร้อน แต่ที่ผ่านมาตนไม่ได้บอกว่านายอำนาจเป็นคนฆ่าพระพ่อ แต่เจ้าตัวเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับพระพ่อ จึงต้องสงสัยเป็นธรรมดา
ส่วนนางบุญศรี ขำมี ภรรยาพระเด็จ กล่าวว่า ดีใจมากที่พบตัวสามีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าสามีอาจเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากออกเดินป่าตามหาเป็นเดือนก็ไม่พบร่องรอย โดยการพบสามีครั้งนี้เชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ เพราะจุดที่พบไม่มีใครคิดว่าเจ้าตัวจะหลงไปถึง ทั้งซึ่งพระเด็จเล่าว่ามีชายชุดดำ 2 คนหน้าตาเหมือนกันนำทางไป ตนก็เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นคน แต่เป็นสิ่งลี้ลับที่นำทางไป
ทั้งนี้ ตนก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปกราบขอโทษนายอำนาจ อดีตพระลูกวัดบ้านพร้าวพร้อมครอบครัว ที่ทำให้ถูกกล่าวหา ซึ่งตนก็ไม่กลัวหากอีกฝ่ายจะฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท เพราะตนไม่ได้ระบุว่าเจ้าตัวเป็นคนฆ่าพระเด็จ เพียงแค่สงสัยเพราะเห็นว่าอยู่กับพระเด็จเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น
นอกจากนี้ นางบุญศรียืนยันว่า ครอบครัวโดยเฉพาะลูกสาว ไม่เคยขับไล่พระเด็จออกจากบ้านตามที่ถูกกล่าวหา โดยลูกสาวยังไปเยี่ยมพระเด็จที่วัดเป็นประจำ
ขณะที่นายอำนาจ ศรีศิริ อดีตพระลูกวัดบ้านพร้าว เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวเจอพระเด็จแล้ว ส่วนตัวก็รู้สึกโล่งอก เพราะสังคมจะได้เลิกครหาว่าตนเป็นคนฆ่า ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เข้าใจว่าทุกคนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่รู้จะอธิบายให้คนเชื่อตัวเองได้อย่างไร
ทั้งนี้ หลังจบคดีตนก็จะใช้ชีวิตทำงานของตัวเองตามปกติ โดยยังไม่คิดเรื่องฟ้องกลับญาติของพระเด็จแต่อย่างใด ส่วนเรื่องจะกลับไปบวชหรือไม่นั้น ขอเวลาอีกสักพัก หากหมดเรื่องปวดหัวทางโลกก็อาจกลับไปบวชอีกรอบ เพราะช่วงเวลาที่บวชเป็นพระก็มีความสบายใจ
ด้านพระสาคร จันทร์ทอง พระลูกวัดบ้านพร้าว กล่าวว่า พระในวัดทุกรูปรวมถึงอาตมารู้สึกดีใจมากที่พบตัวพระเด็จ ซึ่งยืนยันตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไปว่าพระในวัดบ้านพร้าวไม่เคยทะเลาะหรือมีปัญหากัน แต่ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างต้องทำกิจของตัวเอง ซึ่งบางคนก็นำไปตีความผิด ๆ ทำให้เกิดการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นญาติพระเด็จแต่อย่างใด